วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มรณานุสติกรรมฐาน


         มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตาย
เป็นของธรรมดา ของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตาย
ในที่สุดเหมือนกันหมด ความ ตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป 
ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย 
แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์ อะไร ? ปัญหาข้อนี้
ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดา
จริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึง
ตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตาย
มาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายาม ทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใคร จะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน 
เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดาไม่มีทาง
ทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดา
เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า  


ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา
ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็น สาม อย่างด้วยกัน คือ


         ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของ
พระอรหันต์ ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด 
คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับ ท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ 
ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่า ตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก
 

         ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ 
ความดับ หรือการ เคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป 
ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือ
เป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิด ต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหาร
เก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจ ของอาหารเก่า ร่างกาย
ต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็
จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของ
อาหารเก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน 
ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหาร
เก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกาย
ก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุน
ทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามี ความตายเป็น
ปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือ 
ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ
 

         ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัย
ที่ชาวโลกนิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาล
มรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรม
บางอย่าง ที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อ
ให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ 
พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบ
อกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหาที่เกิด
ก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรม
ชั่วที่ทำไว้ขณะที่ ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ 
ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า 
ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัด
ตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตาม ธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ 
คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือสามารถช่วย
ให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะ-
เคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้อง ทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบ
หมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อ
ชีวิตหมอให้มีความสุขส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาใน
พระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุ-วัฒนสามเณร

ที่มา :  http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=268

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พฤติกรรมจิต (เวอร์ชั่น อยากเล่าให้ฟัง)

ไปอ่านมาเวปนึงครับ เห็นว่า จริง ตามที่เค้ากล่าวไว้ เพราะเป็นประสบการณ์
ตรงของตัวเองเลยว่า ปัจจุบันนี้ โทสะ แรง ๆ ไม่เกิดต่อในจิต แล้ว แต่ที่เกิด
แล้วเห็นเลย คือ ความขัดใจ ขัดข้องใจเล็กน้อย นี่ ชัดมากเมื่อมันเกิด


ความจริงเมื่อจิตเกิดสติสัมปชัญญะนั้น จะเกิดมหากุศลจิตขึ้นมาทันที 
อำนาจของการเจริญสติสัมปชัญญะจะทำให้กิเลสทำงานไม่ได้ เมื่อนานเข้า 
อนุสัย ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดที่ซ่อนตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกจะอ่อนกำลังลง 
เพราะมันไม่สามารถเจริญงอกงามเป็นกิเลสหยาบๆ ขึ้นมาได้ 
(เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน) ถ้าเราคอยตัดยอดทิ้งไปเรื่อยๆ 
ไม่ให้ปรุงอาหารได้ หัวของมันก็จะค่อยๆ ฝ่อไปเพราะขาดอาหาร)

(ที่มา  http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=29387  ขอขอบพระคุณครับ)


ถ้าเราฝึกไปเรื่อย ๆ พฤติกรรมของจิตจะเปลี่ยน เป็นแบบนี้ล่ะครับ ผมเองก็เป็นคล้าย ๆ
แบบนี้ล่ะครับ 


^_^ พยายามกันต่อไป
สู้ ๆ 


สุตตธัมโม.
.

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำความเข้าใจ

อ่านมาถึงวันนี้แล้ว

ผู้เขียนขอทำความเข้าใจว่า บทความแต่ละบท โดยเฉพาะ หมวด "ตู้คำสอน" นั้น
ผู้เขียน ลอกมาล้วน ๆ  ครับ ไม่มีการ แต่งเองแต่ประการใด ทั้งนี้ มุ่งมั่น ที่จะจัดเก็บ
และเผยแพร่ เท่านั้น ไม่ได้หวังผลประโยชน์ใด ๆ ครับ ฃ
ส่วนการให้ เครดิต ผู้แต่ง อย่างไร ถ้าผมทราบ ผมจะขอลงไว้ให้ แต่ส่วนใหญ่
ผมจะลง เป็น วาทะ โอวาท ข้อคิด ของพระอาจารย์ รูปนั้น ๆ ครับ

ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่มีผลกันอยู่แล้ว
บางท่านอ่านแล้วขอให้ทำความเข้าใจครับ
บางครั้ง บางเวลา คนเราอาจจะอยากอ่านอะไรที่ทำให้ได้ สติในทางโลกได้บ้าง

เพื่อทราบครับ และ ผู้เขียน ต่อไป จะใช้ คำว่า "ผู้บันทึก" แทน ครับ

จริง ๆ แล้วบท ความ ข้อความเหล่านี้ก็หาได้จาก Internet ทั่วไปล่ะครับ
แต่ แรงบันดาลใจ ที่จะรวบรวม มีมากกว่า ก็เท่านั้น ไม่มี อะไรแอบแฝง
ใครอ่านแล้วได้ประโยชน์ อย่างไร ก็ขอแสดงความยินดีครับ
และหวังว่า คงไม่มีใครอ่านแล้ว จะทุกข์ใจ อะไรกับ ข้อความเหล่านี้ครับ

ด้วยความนับถือ
สุตตธัมโม. (ผู้บันทึก)
..
....

โอวาท หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

เมื่อสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้นจะต้องรู้เท่าทัน
อย่าไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งได ถือสิ่งไดสิ่งนั้นไม่เป็นไปตาม
ใจหวัง ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ยึดเอาถือเอาเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
ย่อมมีความไม่เที่ยงอย่างนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปเกิดขึ้นใหม่
ตั้งอยู่ ก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้

วันเวลาที่หมดไปสิ้นไปโดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้าง
ในชีวิตที่เกิด มาในโลก และได้พบพระพุทธศาสนานี้ช่างเป็นชีวิตที่น่า
เสียดายยิ่งนักเวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวน
มหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้านบาทก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ฉะนั้น
สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับ ปล่อยวันเวลา
ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว

"มรณกรรมฐาน" นี้เป็นยอดกรรมฐานก็ว่าได้ คนเราเมื่ออาศัยความ
ประมาทมัวเมา ไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง
หมายเอาเองว่า เราคงไม่เป็นอะไรง่าย ๆ เราสบายดีอยู่เรายังเด็กยัง
หนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย อันนี้เป็นความประมาทมัวเมา

-*-*-*-*-*-*-*-

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชอบจริง ๆ ครับ ของ หลวงปู่ดุลย์

จิตที่ส่งออกนอก.........เป็น..............สมุหทัย
ผลที่จิตส่งออกนอก.....เป็น..............ทุกข์
จิตเห็นจิต................เป็น...............มรรค
ผลที่จิตเห็นจิต..........เป็น...............นิโรธ


อ่านแล้ว... มองเห็นกระจ่างมาก ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร
ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจ อริยสัจ 4 นี่เลย เคยเป็นเพียง
"คิดว่า" เข้าใจ เท่านั้น

กลอนธรรมจ้า จากท่านพุทธทาส

ขออนุญาตยกเอาคำสอนของท่านพุทธทาส... ที่ได้อ่านเมื่อใด..เตือนสติได้เสมอ...

ยศและลาภหาบไปมิได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล
ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน แม้แต่ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ


เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเจ้า ใยมัวเมาโลภมากทำบาปใหญ่
เจ้ามาเปล่าแล้วจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

เจ้าเกิดมาก็มาแต่ตัวเปล่า ใครหอบเอาสมบัติมาก็หาไม่

ถึงคราวจากทอดทิ้งไว้มิเอาไป ติดตามได้แต่บาปบุญของตนเอง

เมื่อยังไม่ตายมุ่งหมายว่าของข้า เพราะตัณหาพาจิตคิดหลงใหล
แม้ตัวเราเขายังเอาไปเผาไฟ มีสิ่งใดเป็นของเราก็เปล่าเลย

แรกเกิดมามีแต่หัวและตัวเปล่า มิได้เอาเงินทองคล้องมาด้
เมื่อเป็นอยู่บากบั่นเข้าขั้นรวย ยามมอดม้วยก็ทิ้งไว้ไปแต่มือ...



หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

1. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว
เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมา
ถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้
อยู่ที่การละกิเลส ละกิเลสในใจให้หมดสิ้น

2. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละให้ออก
ไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตาห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่อง
ของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือน
กับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน

3. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง
อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั่นเราเป็นนี่ ตัวเรา
ของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

กิเลส กองไหนที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว ให้รีบตัด รีบละออกไป เลิกไม่ได้ ละไม่ได้ก็ให้นึกถึง
ความตาย ใครจะดุร้าย ป้ายสี ก็ให้นึกว่าเขาจะต้องตาย

เรา คือ กายกับจิตที่ต้องตายจากกันไป จะมาโกรธ มาโลภ มาหลง มายึดหน้าถือตา ยึดอะไรต่อมิ
อะไรไปทำไม จงปล่อยวางให้หมดสิ้นไป

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บ่น......

เช้าวันนี้ 24 ตค. 2552

ไม่รู้จะทำอะไรจริง ๆ ตื่นมาก็สายแล้ว นั่งเล่น web ไปเรื่อย หา Idea สำหรับ โปรแกรมตัวใหม่ กับโปรเจ็ค อภิมหา... เล็ก
หุๆๆ... ตอนเช้า Update web ไปเล็กน้อย (1 กระทู้ )

แล้วเอาไงดีล่ะเนี่ย..... (ขี้เกียจ)
เริ่มต้น..
ไปนั่งดูหนัง พักผ่อน เอนหลัง (กินไปด้วย ^o^)
ปล่อยวางจิตให้ว่าง ซักพัก (จริง ๆ ก็นั่งสังเกตุใจ ไปนั่นแหล่ะ)
แล้วฟังธรรมะ จาก ไฟล์เสียง พระอาจารย์ปราโมทย์ (อิเล็คโทรนิคส์-มรรค วุ้ย)

ปล่อยใจสบาย ๆ พอว่าง ๆ ก็มานั่ง คิดต่อ (ฟุ้งซ่านว่ะ) จะแต่ง หน้าตา Blog เป็นยังไงดีฟระ ใครจะเข้ามาดูไม๊
แล้วตัวเองก็ตอบไปว่า . ไม่ดีกว่า แต่งไปอย่างที่ใจอยากจะทำ ใครจะมาดูก็ช่างมัน ไม่ดูก็ไม่ว่าอะไร ..
นี่เอง.. ที่เรียกว่า จิตฟุ้ง... มันจ้าออกมานอกตัว คิดถึงตัวเองไม่ถึง 1 วินาที มันก็จ้า ไปคิดต่อ ว่า ใครจะเข้ามาอ่าน
มั่งไม๊ ..นี่ จิตมันเป็นอย่างนี้

เฮ้อ .. แล้ว หนทาง อริยมรรค มันจะเริ่ม เตาะแตะ ได้ยังไงหว่าเนี่ย
คิดไปคิดมาก็หิัว ..ลงไปหาอะไรกิน (ทำไมร่างกายต้องเกิดทุกข์ตลอดเวลาด้วยนะ)
พอเิริ่มกิน ก็เอาแล้ว... อร่อย.. (จริงไม่จริงไม่รุ) เออน้อยจัง ยังไม่ทันไรหมดแล้ว

ผมสังเกตุ อย่างนึง

กิเลส ..... ราคา โทสะ โมหะ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ใคร ๆ บอกว่ามันเกิดมา เห็นอย่างนั้น เห็นอย่างนี้
ผมว่า มันไม่ได้ิเกิดทีละอย่างนะ
มันเกิด ต่อเนื่อง กันทั้ง 3 อย่างแหล่ะ

โดยที่ แต่ละอย่างจะเป็น เหตุและปัจจัย ของ กันและกัน (น่ากลัวจริง ๆ ขอบอก)
แต่คนที่ดูจิตเนี่ย หลายคน จับมันไม่ได้แน่ ถ้าฝึกมาน้อย แม้แต่ตัวผมเองนะ เห็นมั่งไม่เห็นมั่ง

คืองี้ ผมลองพิจารณาลงไปในจิต ในกิเลสทั้งปวง แล้วดูว่า (ตาม ดูนี่แหล่ะ)
ตัวไหน เกิด เช่น โทสะ เกิด.. ก็ดูตามมันไป โทสะก็ดับ

...แล้วไง

ก็เห็นว่า บางครั้ง ความขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ก็คือโทสะ นะ
แต่ ทำไม ถึงขัดใจล่ะ .. เพาะอยากไง (แน่ะ โลภะเกิดก่อนนะ)
พอ โลภะเกิดก่อน แล้วเราเกิด มองเห็นโลภะ นะ โลภะ มันก็ดับ
เมื่อมันดับ

... Logic เลย ถ้า.. ดับก่อนที่จะเกิดความขัดใจ โทสะไม่เกิด แต่ถ้าดับทีหลัง โทสะก็เกิด
เอากะมันสิ

สังเกตุว่า เืมื่อเกิด ความขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ (โทสะ) ก็จะเกิดความทุกขฺ นั่นเอง
แล้ว.. จิต จะเกิดความอยาก (ดิ้นรน มันไปเรื่อย ๆ ) พออยาก ก็จะดิ้น แล้วพอได้ดังใจ
มันก็ หลง อ้าว พอหลง แล้วเกิดขัดใจอีก โทสะมันก็เกิด แล้วมันก็อยาก อยากแล้วก็หลง
หลงแล้วก็ โกรธ ........................................

เชื่อไม๊ ว่ามันเป็นแบบนี้.

สรุป ว่าจริง ๆแล้ว กิเลส เกิดที่จิต ตลอดเวลา ถ้าเราตามดู เราจะไม่เป็นอันทำไร T_T
แต่ เราต้องตามจริง ๆนะ เพราะอะไร .?

เพราะ ยิ่งตามดูต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งนาน ๆ เราจะพบว่า เราสามารถ เห็นตัว กิเลส ได้ละเอียดมากขึ้น ๆ
จริงป่าว ไม่มีใครยืนยัน ประสบการณ์ผมหรอก .. แต่ ปัจจัตตัง เท่านั้นแหล่ะ คือ ความจริง ครับ

เอ้า เขียนซะเป็นวรรคเป็นเวร .. ไปพักก่อนดีกว่า ไว้ว่าง ๆ จะมาเขียนเรื่องการทำ สมถะ..
ต้องทำ ครับ ตอนนี้ จิตอ่อน ลงเรื่อย ๆ อ่อนล้านะ ไม่ใข่่อ่อนแอ ไม่ทำไม่ได้นะเนี่ย
แต่ ท่านอาจารย์ปราโมทย์ บอกว่า อย่าไปติดเพ่ง ..
อืมม์ กลัวเหมือนกัน แต่ไม่มีทางเลือก คิดว่า แค่ประคอง สติ คงจะไม่หลง ละกัน

เฮ้อ.. ไหนว่า ท่านอาจารย์ว่า มัน"ง่าย" ไงล่ะ T_T ยากนะเนี่ย ขอบอก


Inkky
พยายามต่อไป วันนึง อริยมรรค ต้องเป็นของเรา ^_^
..

คำสอนหลวงปู่มั่น



" ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น
นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต

เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะ
แสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย ฉะนั้นพวกเรา
ทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด
ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็น
สังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืน
เถิดความเบื่อหน่ายคลายเมา ไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคายด้วยจะเป็นสัมมา
วิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วง ไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ
หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ "


โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
(บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เริ่มต้นกับ ตัวผม



แรงบันดาลใจในการสร้าง Blog ที่จะเก็บคำสอนของพระ ซึ่งผม เคารพนับถือขึ้นเนื่องจาก
บังเอิญรับฟังธรรม จากพระอาจารย์ ปราโมทย์ (สวนสันติธรรม) และก็ได้ทดสอบปฏิบัติ ตามแนว
ทางของท่าน อาจารย์

อีกทั้ง ยังได้ยิน ชื่อ ครูบาอาจารย์ หลายท่านจากปากของท่าน ทั้งที่เคยได้ยินชื่อ และไม่ได้
ยินชื่อมาก่อน ก็ได้ตาม ไปค้นหาข้อมูลของท่านเหล่านั้น และเห็นว่า ถ้อยคำ วาจาอันมีคุณค่าของ
ท่านเหล่านั้น สมควรที่จะ ถูกจัดเก็บไว้ รวมทั้งพร้อมที่จะเผยแพร่ ออกไป แก่ผู้ที่ใคร่ ในธรรม
ทั้งหลาย ตามที่ พระศาสดา ของศานาพุทธเรา ได้บัญญัิติไว้

ดังนั้น ผมจึงได้สร้าง Blog ทั้งที่จริง ๆ แล้วมี Blog เหล่านี้มากมาย แต่ขอเป็นส่วนเล็ก ๆ
ส่วนหนึ่งในการ เก็บ "ความจริง" หรือ "สัจจะ" แห่งชีวิต ไว้ทางหนึ่งด้วย


INKKY