มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตาย
เป็นของธรรมดา ของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตาย
ในที่สุดเหมือนกันหมด ความ ตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป
ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย
แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์ อะไร ? ปัญหาข้อนี้
ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดา
จริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึง
ตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตาย
มาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายาม ทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใคร จะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน
เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดาไม่มีทาง
ทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดา
เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า
ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา
ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็น สาม อย่างด้วยกัน คือ
๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของ
พระอรหันต์ ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด
คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับ ท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่
ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่า ตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก
๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ
ความดับ หรือการ เคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป
ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือ
เป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิด ต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหาร
เก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจ ของอาหารเก่า ร่างกาย
ต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็
จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของ
อาหารเก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน
ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหาร
เก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกาย
ก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุน
ทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามี ความตายเป็น
ปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือ
ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ
๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัย
ที่ชาวโลกนิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาล
มรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรม
บางอย่าง ที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อ
ให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้
พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบ
อกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหาที่เกิด
ก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรม
ชั่วที่ทำไว้ขณะที่ ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่
ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า
ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัด
ตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตาม ธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ
คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือสามารถช่วย
ให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะ-
เคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้อง ทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบ
หมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อ
ชีวิตหมอให้มีความสุขส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาใน
พระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุ-วัฒนสามเณร
ที่มา : http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=268


