วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิชชา3 และ วิชชา 8

วิชชา 3 ประกอบด้วย
1. ปุพเพนิวาสานุสสติ ( คือพระองค์ระลึกชาติได้ เป็น สนกัปป์)
2. จูตูปปตยญาน ( คือ พระองค์ทรงเห็นการกำเนิดแห่งสัตว์โลก )
3. อาสวขยญาน ( คือ พระองค์ทราบได้โดยจิตว่า อาสวะได้สิ้นไปแล้ว)
อาจสะกดผิดบ้างนะครับ
ส่วน วิชชา 8 คือเพิ่ม
1.วิปัสสนาญาณ (ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่เป็นวิปัสสนา คือปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขารคือนามรูปโดยไตรลักษณ์
2.อิทธิวิธี( ผมอาจสะกดผิด ) คือ พระองค์ทรงมีอิทธิฤทธิ์ ดำดิน    นั่งสมาธิเหาะ ลูปดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ
3. มโนมยิทธิ (ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ, ฤทธิ์ทางใจ คือ นิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้
4. เจโตปริยญาน คือ ล่วงรู้จิตผู้อื่น เช่น จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ
5. ทิพยโสต คือ พระองค์ได้ยินเสียงเทวดา ฯลฯ



ขอบคุณที่มา :  http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=buddhapoemcom&thispage=17&No=486978

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สันตติรูป


สันตติรูป คือ รูปที่เกิดสืบต่อกันกับอุปจยรูป หรือ รูปที่มีต่อ สืบต่อจาก อุปจยรูปของนิปผันนรูป นั่นเอง
       ความเกิดขึ้นสืบต่อกันของนิปผันนรูป ชื่อว่า สันตติ กล่าวคือ เมื่อรูปนั้น ๆ เกิดขึ้นครั้งแรกแล้ว รูปที่เกิดสืบต่อจากรูปที่เกิดครั้งแรกนั่นเอง เรียกว่า สันตติรูป
       สันตติรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้   
       ปวตฺติ ลกฺขณา         :มีการเจริญอยู่ เป็นลักษณะ
       อนุปฺปพนฺธน รสา        :มีการสืบต่อ เป็นกิจ
       อนุปจฺเฉท ปจฺจุปฏฺฐานา   :มีการไม่ขาดจากกัน เป็นผล
       อนุปพนฺธกรรูป ปทฏฺฐานา  :มีรูปที่ยังให้ต่อเนื่องกัน เป็นเหตุใกล้

ที่มา: http://www.abhidhamonline.org/aphi/p6/039.htm

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความหมายของการภาวนา

ภาวนา แปลว่า ธรรมที่ควรกระทำให้เจริญขึ้น คือให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสันดานของตน
          วิเคราะห์ตามศัพท์พระบาลีท่านว่า "ภาเวตัพพาติ = ภาวนา" แปลความว่า ธรรมที่บัณฑิตทั้งหลายพึงทำให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และครั้งหลังๆ ให้ติดต่อกันเป็นนิจ จนถึงเจริญขึ้น

ภาวนา   แปลว่า การเจริญ การอบรม การทำให้มีให้เป็นขึ้น หมายถึง การทำจิตใจให้สงบและทำปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการฝึกฝนอบรมจิตไปตามแบบที่ท่านกำหนดไว้ ซึ่งเรียกชื่อไปต่างๆ เช่น การบำเพ็ญกรรมฐาน การทำสมาธิ การเจริญภาวนา การเจริญจิตตภาวนา

ภาวนา ในทางปฏิบัติท่านแบ่งไว้ ๒ แบบใหญ่ๆ คือ

๑.สมถภาวนา การอบรมจิตใจให้สงบ ซึ่งได้แก่สมถกรรมฐานนั่นเอง เรียกว่า จิตภาวนา ก็ได้
๒.วิปัสสนาภาวนา การอบรมปัญญาให้เกิด ซึ่งได้แก่วิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง เรียกว่า ปัญญาภาวนา ก็ได้

ภาวนา  สองอย่างนี้ ในบาลีที่มาท่านเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม และ วิชชาภาคิยธรรม. ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกว่า กรรมฐาน (อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งงานเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต, วิธีฝึกอบรมจิต
 อีกนัยหนึ่งจัดเป็น๒เหมือนกันคือ
๑.จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็งมั่นคง เบิกบาน สงบสุขผ่องใสพร้อมด้วยความเพียรสติและสมาธิ
๒. ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์

ภาวนา๔  (การเจริญ,การทำให้เป็นให้มีขึ้น,การฝึกอบรม,การพัฒนา)
๑. กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงามให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ,การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวด ล้อมทางกายภาพ)
๒.สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียน หรือก่อความเดือดร้อนเสียหายอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดีเกื้อ ผลแก่กัน)

๓.จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใสเป็นต้น)

๔. ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลส และปลอดพ้นจากความทุกข์แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ด้วยปัญญา)

ในบาลีที่มา ท่านแสดงภาวนา ๔ นี้ ในรูปที่เป็นคุณบทของบุคคล จึงเป็น ภาวิตกาย ภาวิตศีล     ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา (ผู้ได้เจริญกาย ศีล จิต และปัญญาแล้ว) บุคคลที่มีคุณสมบัติชุดนี้ครบถ้วนย่อมเป็นพระอรหันต์)





อ้างอิง ที่มา : http://www.wattraimitr-withayaram.com/new_t/wb_new2/index.php?topic=38.0

ปัจฉิมโอวาท

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

นี้เป็นพระวาจาครั้งสุดท้าย ของเราตถาคต
 
 
 

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พรหมลูกฟัก-อสัญญีพรหม

เกิดจากการเจริญสติกำหนดรับรู้(และเป็นได้ทั้งลืมตาเจริญสติ) การฝึกเจริญสติวิปัสสนาเป็นการ กำหนดรู้ สิ่งที่ถูกรู้ที่มากระทบใดอายตนะหนึ่ง(สิ่งที่ถูกรู้) และตัวรับรู้คือ "ใจ"มโนวิญญาณธาตุ(ตัวรู้-ธาตุรู้ที่ใจ) จะรู้สิ่งที่ถูกรู้
*หากรู้แล้วไม่(ดับ) หรือ ไม่(ปล่อย) ตัวรู้นั้นเป็นวาระๆ เป็นปัจจุบันขณะแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทำมากๆ.. เมื่อทำมากๆ จิตจะเบื่อหน่ายกับสภาพรู้จากการกำหนดรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อยากรับรู้อีก กำหนดรู้จนจิตหมดกำลัง เกิดเป็นสภาพดับไปในที่สุด ลักษณะของสภาพที่ดับไปนี้ สัญญาเวทนาจะดับหมด ความรู้ตัวทั่วพร้อมหมดไปจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นอะไร อยู่ในช่วงเวลาไหนยุคไหน ช่วงเวลาและเหตุการณ์ก่อนที่จะดับ และหลังดับจะไม่ต่อเนื่องกัน อยู่ๆ ก็ดับหายไปไหนก็ไม่รู้ ดับไปอย่างไรก็ไม่รู้ พอดับเต็มที่แล้ว ธาตุรู้ทำงาน สัญญาเวทนาทำงาน ก็เกิดโผล่ขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้อีก
ช่วงเวลาที่ดับไปนั้นเราก็ไม่รู้ว่าดับไปนานเท่าไร เป็นสภาพที่ไม่มีความจำ ไม่มีความรู้สึก เราก็เลยจำสภาพดับไม่ได้ จะจำได้ก็เพียงว่า มันดับมืด และเรียบลื่นไปหมด ไม่มีสัญญาณคลื่นพลังใดเลย ในสภาพที่ดับนั้น

สภาพที่ดับนี้ก็มีการเข้าใจกันว่า คือ การบรรลุธรรม แท้จริงเป็นสภาพที่จิตต้องการพักผ่อนจากการที่ไม่อยากรับอารมณ์ภายนอก หลบเข้าไปในภาวะจิตที่ลึกที่สุด จัดเป็นลักษณะการเข้าฌานอย่างหนึ่ง คือ ไม่รับอารมณ์ภายนอก หลบหนีจากสภาพปัจจุบัน
โดยใช้การดับข่มไว้ สภาพดับนี้เป็นการดับ

เลย บางคนคิดผิดไปว่าเป็น "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" ซึ่งจริงๆแล้วการเจริญสติจะต่างจากการเข้าณานสมาบัติมาก การเจริญสติคือการอยู่กับปัจจุบันขณะ ส่วนฌานสมาธิ(นิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวยิตนิโรธ)นั้นจะเข้าไปตั้งแต่ณานที่1 ถึงณานที่4 แล้วเลยไป อรูปณาน 1 ถึงอรูปณาน4 (เมื่อมีวสีชำนาญบางท่านก็ใช้การอธิษฐานเมื่ออยู่จุด ณ.จุดรูปฌาน4)แล้วไปเข้าจุดดับ(สัญญาและเวทนา) คือสัญญาวิยิตนิโรธ หรือนิโรธสมาบัติ แล้วขึ้นเสวยผล แห่งภูมิธรรมของตน อนาคามีหรืออรหัตผล ณ. จุดนิพพานธาตุ


เรื่องราวนี้เคยมีมาแล้วครับสหายธรรมทุกท่าน ก่อนหน้าพุทธกาล สมัยพุทธกาลและอาจจะยังมีอยู่
เมื่อเข้าใจผิด สภาวะที่ดับจิตดับคือการบรรลุธรรม และได้อารมณ์นั้นมาตลอด โดยไม่รู้ตัว เมื่อสิ้นชีพละสังขาร บุคคลนั้นจะไปเกิด เป็นอรูปพรหม-อสัญญีพรหม(พรหมลูกฟัก) เมื่อหมดแรงฌาน(สัญญาเวทนาเกิด)ก็จะต้องกลับมาเกิดใหม่ แต่ถ้าหากมี หรือพาลูกศิษย์หลงไปด้วย กรรม(ดำ)ที่พาคนเหล่าไปหลงนั้นก็จะมีเพิ่มขึ้น และติดมาเมื่อเกิดใหม่เป็นอะไรก็ไม่รู้(แล้วแต่ว่าสัญญาเวทนาเกิดอย่างไรก็ เป็นอย่างนั้น) สำหรับกรณีนี้จะเป็นของ นักบวช นักพรต ฤษี ชีไพร ก่อนที่จะมีพุทธศาสนา
แต่ถ้าอยู่ในเขตบวรพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์สมณโคดมด้วยแล้วนั้น กรรม(ดำ) ที่บุคคลผู้นันจะได้รับ นั้นจะรุนแรงมาก เมื่อเกิดมาใหม่อย่างไม่สามารถประมาณได้ เพราะสอนผิดทาง ตัวเองหลงไปแล้ว ยังเอาคนอื่นไปหลงตามด้วย ไม่ตรงกับที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติไว้


วิธีแก้ไขเบื้องต้น เจริญสติอยู่กับปัจจุบันขณะ เกิด-ดับ,ถูก-รู้-ปล่อย(รู้) เท่ากับเวลาโลก คือ 1 วินาที ...ไม่ทำ(มีเจตน์จำนงค์)ให้การรับรู้นั้นช้าลง หรือเร็วขึ้น ....


-------------------------->>>>

ขอบคุณที่มา : http://larndham.org/index.php?showtopic=13292