วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิชชา3 และ วิชชา 8

วิชชา 3 ประกอบด้วย
1. ปุพเพนิวาสานุสสติ ( คือพระองค์ระลึกชาติได้ เป็น สนกัปป์)
2. จูตูปปตยญาน ( คือ พระองค์ทรงเห็นการกำเนิดแห่งสัตว์โลก )
3. อาสวขยญาน ( คือ พระองค์ทราบได้โดยจิตว่า อาสวะได้สิ้นไปแล้ว)
อาจสะกดผิดบ้างนะครับ
ส่วน วิชชา 8 คือเพิ่ม
1.วิปัสสนาญาณ (ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่เป็นวิปัสสนา คือปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขารคือนามรูปโดยไตรลักษณ์
2.อิทธิวิธี( ผมอาจสะกดผิด ) คือ พระองค์ทรงมีอิทธิฤทธิ์ ดำดิน    นั่งสมาธิเหาะ ลูปดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ
3. มโนมยิทธิ (ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ, ฤทธิ์ทางใจ คือ นิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้
4. เจโตปริยญาน คือ ล่วงรู้จิตผู้อื่น เช่น จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ
5. ทิพยโสต คือ พระองค์ได้ยินเสียงเทวดา ฯลฯ



ขอบคุณที่มา :  http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=buddhapoemcom&thispage=17&No=486978

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สันตติรูป


สันตติรูป คือ รูปที่เกิดสืบต่อกันกับอุปจยรูป หรือ รูปที่มีต่อ สืบต่อจาก อุปจยรูปของนิปผันนรูป นั่นเอง
       ความเกิดขึ้นสืบต่อกันของนิปผันนรูป ชื่อว่า สันตติ กล่าวคือ เมื่อรูปนั้น ๆ เกิดขึ้นครั้งแรกแล้ว รูปที่เกิดสืบต่อจากรูปที่เกิดครั้งแรกนั่นเอง เรียกว่า สันตติรูป
       สันตติรูป มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้   
       ปวตฺติ ลกฺขณา         :มีการเจริญอยู่ เป็นลักษณะ
       อนุปฺปพนฺธน รสา        :มีการสืบต่อ เป็นกิจ
       อนุปจฺเฉท ปจฺจุปฏฺฐานา   :มีการไม่ขาดจากกัน เป็นผล
       อนุปพนฺธกรรูป ปทฏฺฐานา  :มีรูปที่ยังให้ต่อเนื่องกัน เป็นเหตุใกล้

ที่มา: http://www.abhidhamonline.org/aphi/p6/039.htm

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความหมายของการภาวนา

ภาวนา แปลว่า ธรรมที่ควรกระทำให้เจริญขึ้น คือให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสันดานของตน
          วิเคราะห์ตามศัพท์พระบาลีท่านว่า "ภาเวตัพพาติ = ภาวนา" แปลความว่า ธรรมที่บัณฑิตทั้งหลายพึงทำให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และครั้งหลังๆ ให้ติดต่อกันเป็นนิจ จนถึงเจริญขึ้น

ภาวนา   แปลว่า การเจริญ การอบรม การทำให้มีให้เป็นขึ้น หมายถึง การทำจิตใจให้สงบและทำปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการฝึกฝนอบรมจิตไปตามแบบที่ท่านกำหนดไว้ ซึ่งเรียกชื่อไปต่างๆ เช่น การบำเพ็ญกรรมฐาน การทำสมาธิ การเจริญภาวนา การเจริญจิตตภาวนา

ภาวนา ในทางปฏิบัติท่านแบ่งไว้ ๒ แบบใหญ่ๆ คือ

๑.สมถภาวนา การอบรมจิตใจให้สงบ ซึ่งได้แก่สมถกรรมฐานนั่นเอง เรียกว่า จิตภาวนา ก็ได้
๒.วิปัสสนาภาวนา การอบรมปัญญาให้เกิด ซึ่งได้แก่วิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง เรียกว่า ปัญญาภาวนา ก็ได้

ภาวนา  สองอย่างนี้ ในบาลีที่มาท่านเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม และ วิชชาภาคิยธรรม. ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกว่า กรรมฐาน (อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งงานเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต, วิธีฝึกอบรมจิต
 อีกนัยหนึ่งจัดเป็น๒เหมือนกันคือ
๑.จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามด้วยคุณธรรม มีความเข้มแข็งมั่นคง เบิกบาน สงบสุขผ่องใสพร้อมด้วยความเพียรสติและสมาธิ
๒. ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมเจริญปัญญา ให้รู้เท่าทันเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จนมีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์

ภาวนา๔  (การเจริญ,การทำให้เป็นให้มีขึ้น,การฝึกอบรม,การพัฒนา)
๑. กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงามให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ,การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวด ล้อมทางกายภาพ)
๒.สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียน หรือก่อความเดือดร้อนเสียหายอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดีเกื้อ ผลแก่กัน)

๓.จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่น เบิกบาน เป็นสุขผ่องใสเป็นต้น)

๔. ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลส และปลอดพ้นจากความทุกข์แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ด้วยปัญญา)

ในบาลีที่มา ท่านแสดงภาวนา ๔ นี้ ในรูปที่เป็นคุณบทของบุคคล จึงเป็น ภาวิตกาย ภาวิตศีล     ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา (ผู้ได้เจริญกาย ศีล จิต และปัญญาแล้ว) บุคคลที่มีคุณสมบัติชุดนี้ครบถ้วนย่อมเป็นพระอรหันต์)





อ้างอิง ที่มา : http://www.wattraimitr-withayaram.com/new_t/wb_new2/index.php?topic=38.0

ปัจฉิมโอวาท

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...
บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

นี้เป็นพระวาจาครั้งสุดท้าย ของเราตถาคต
 
 
 

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พรหมลูกฟัก-อสัญญีพรหม

เกิดจากการเจริญสติกำหนดรับรู้(และเป็นได้ทั้งลืมตาเจริญสติ) การฝึกเจริญสติวิปัสสนาเป็นการ กำหนดรู้ สิ่งที่ถูกรู้ที่มากระทบใดอายตนะหนึ่ง(สิ่งที่ถูกรู้) และตัวรับรู้คือ "ใจ"มโนวิญญาณธาตุ(ตัวรู้-ธาตุรู้ที่ใจ) จะรู้สิ่งที่ถูกรู้
*หากรู้แล้วไม่(ดับ) หรือ ไม่(ปล่อย) ตัวรู้นั้นเป็นวาระๆ เป็นปัจจุบันขณะแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทำมากๆ.. เมื่อทำมากๆ จิตจะเบื่อหน่ายกับสภาพรู้จากการกำหนดรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อยากรับรู้อีก กำหนดรู้จนจิตหมดกำลัง เกิดเป็นสภาพดับไปในที่สุด ลักษณะของสภาพที่ดับไปนี้ สัญญาเวทนาจะดับหมด ความรู้ตัวทั่วพร้อมหมดไปจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นอะไร อยู่ในช่วงเวลาไหนยุคไหน ช่วงเวลาและเหตุการณ์ก่อนที่จะดับ และหลังดับจะไม่ต่อเนื่องกัน อยู่ๆ ก็ดับหายไปไหนก็ไม่รู้ ดับไปอย่างไรก็ไม่รู้ พอดับเต็มที่แล้ว ธาตุรู้ทำงาน สัญญาเวทนาทำงาน ก็เกิดโผล่ขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้อีก
ช่วงเวลาที่ดับไปนั้นเราก็ไม่รู้ว่าดับไปนานเท่าไร เป็นสภาพที่ไม่มีความจำ ไม่มีความรู้สึก เราก็เลยจำสภาพดับไม่ได้ จะจำได้ก็เพียงว่า มันดับมืด และเรียบลื่นไปหมด ไม่มีสัญญาณคลื่นพลังใดเลย ในสภาพที่ดับนั้น

สภาพที่ดับนี้ก็มีการเข้าใจกันว่า คือ การบรรลุธรรม แท้จริงเป็นสภาพที่จิตต้องการพักผ่อนจากการที่ไม่อยากรับอารมณ์ภายนอก หลบเข้าไปในภาวะจิตที่ลึกที่สุด จัดเป็นลักษณะการเข้าฌานอย่างหนึ่ง คือ ไม่รับอารมณ์ภายนอก หลบหนีจากสภาพปัจจุบัน
โดยใช้การดับข่มไว้ สภาพดับนี้เป็นการดับ

เลย บางคนคิดผิดไปว่าเป็น "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" ซึ่งจริงๆแล้วการเจริญสติจะต่างจากการเข้าณานสมาบัติมาก การเจริญสติคือการอยู่กับปัจจุบันขณะ ส่วนฌานสมาธิ(นิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวยิตนิโรธ)นั้นจะเข้าไปตั้งแต่ณานที่1 ถึงณานที่4 แล้วเลยไป อรูปณาน 1 ถึงอรูปณาน4 (เมื่อมีวสีชำนาญบางท่านก็ใช้การอธิษฐานเมื่ออยู่จุด ณ.จุดรูปฌาน4)แล้วไปเข้าจุดดับ(สัญญาและเวทนา) คือสัญญาวิยิตนิโรธ หรือนิโรธสมาบัติ แล้วขึ้นเสวยผล แห่งภูมิธรรมของตน อนาคามีหรืออรหัตผล ณ. จุดนิพพานธาตุ


เรื่องราวนี้เคยมีมาแล้วครับสหายธรรมทุกท่าน ก่อนหน้าพุทธกาล สมัยพุทธกาลและอาจจะยังมีอยู่
เมื่อเข้าใจผิด สภาวะที่ดับจิตดับคือการบรรลุธรรม และได้อารมณ์นั้นมาตลอด โดยไม่รู้ตัว เมื่อสิ้นชีพละสังขาร บุคคลนั้นจะไปเกิด เป็นอรูปพรหม-อสัญญีพรหม(พรหมลูกฟัก) เมื่อหมดแรงฌาน(สัญญาเวทนาเกิด)ก็จะต้องกลับมาเกิดใหม่ แต่ถ้าหากมี หรือพาลูกศิษย์หลงไปด้วย กรรม(ดำ)ที่พาคนเหล่าไปหลงนั้นก็จะมีเพิ่มขึ้น และติดมาเมื่อเกิดใหม่เป็นอะไรก็ไม่รู้(แล้วแต่ว่าสัญญาเวทนาเกิดอย่างไรก็ เป็นอย่างนั้น) สำหรับกรณีนี้จะเป็นของ นักบวช นักพรต ฤษี ชีไพร ก่อนที่จะมีพุทธศาสนา
แต่ถ้าอยู่ในเขตบวรพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์สมณโคดมด้วยแล้วนั้น กรรม(ดำ) ที่บุคคลผู้นันจะได้รับ นั้นจะรุนแรงมาก เมื่อเกิดมาใหม่อย่างไม่สามารถประมาณได้ เพราะสอนผิดทาง ตัวเองหลงไปแล้ว ยังเอาคนอื่นไปหลงตามด้วย ไม่ตรงกับที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติไว้


วิธีแก้ไขเบื้องต้น เจริญสติอยู่กับปัจจุบันขณะ เกิด-ดับ,ถูก-รู้-ปล่อย(รู้) เท่ากับเวลาโลก คือ 1 วินาที ...ไม่ทำ(มีเจตน์จำนงค์)ให้การรับรู้นั้นช้าลง หรือเร็วขึ้น ....


-------------------------->>>>

ขอบคุณที่มา : http://larndham.org/index.php?showtopic=13292

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มรรค 8 ( อัฏฐังคิกมรรค )

อริยมรรคมีองค์แปด คือต้องพร้อมเป็นอันเดียวกันทั้งแปดอย่าง 
คือ
..........1. สัมมาทิฏฐิคือความเข้าใจถูกต้อง
..........2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง
..........3. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง
..........4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง
..........5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง
..........6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง
..........7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง
..........8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง
.....การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อย่นรวมกัน
.....แล้วเหลือเพียง 3 คือ ศีล - สมาธิ - ปัญญา สรุปสั้น ๆ ก็คือ
...............การปฏิบัติธรรม(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)ก็คือการเดินตามมรรค

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กลอนเพื่อน + เล่าประสบการณ์ ดูจิต

วันนี้ ได้กลอน เท่ห์ ๆ มาบทนึง เอามาแ่บ่งกันครับ


มีเพื่อนดี .. มีหนึ่ง .. ถึงจะน้อย
ดีกว่าร้อย .. เพื่อนคิด ..ริษยา
เหมือนเกลือดี .. มีนิดหน่อย .. น้อยราคา
ยังมีค่า .. กว่าน้ำเค็ม .. เต็มทะเล


อ่านกันหนุก ๆ ครับเอาไปคิดกัน
มาถึงวันนี้ ภาวนา ก็พอไปได้แล้ว (คิดเอาเอง) แต่เริ่มเห็นสภาวะบางอย่างแล้ว และชัดเจนมาก
เหมือนกัน ทำให้ตัวเอง จากที่เป็นคนที่ โมโห .. โทสะ แรง เย็นอย่างน่าตกใจ

เมื่อวันก่อน มีเรื่องที่ำทำงาน ...
โดน โทรมา ต่อว่า (จริงๆ เรียกว่า "ด่า" ถึงจะถูก)ฝั่งนู้น แรงมาก ขึ้นคำหยาบคาย ท้าทายสารพัด
ถ้าเป็นแต่ก่อน อาจจะ มีการโต้ตอบแล้ว ถึงเลือด ถึงเนื้อแล้ว..

แต่วันนั้น .. นึกถึงคำพูดหลวงพ่อปราโมทย์ .. (ถือว่าเป็นโอกาสดี ไม่มีเหตุ ปัจจัย แรง ๆ กระทบมานานมากแล้ว)
ผมเองก็นั่ง ดูจิต ตัวเองไปเลย
เห็นกับตาครับ
โทสะ (ของตัวเอง) มันวูบ .. แล้วดับ แล้วมันก็วูบ ขึ้นมาอีก
เป็นอยู่นาน มีบางขณะ ที่เราไม่พอใจ จิต (คือไม่เป็นกลาง) อยากให้มันไม่โกรธนะ
แต่.. ก็เลยไป "รู้ทัน" จิตที่ไม่เป็นกลาง ... ก็ดับไปแล้วก็ไปรู้ โทสะ ต่อ

สิ่งที่พบ คือ "เหตุ" และ "ปัจจัย" มันยังอยู่ ... โทสะ ยังคงเกิด และเกิดอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ผม เห็นต่างไปจากเดิม คือมันเป็น สาย ๆ เป็นเส้น ๆ เกิดแล้วดับ แล้วเกิดใหม่ แล้วก็ดับไป อีก
.. ไม่ใ่ช่ว่า ไม่หายโกรธ แต่เห็นมันดับ ถี่ ๆ ตลอดเวลา แล้วก็เกิดตลอดเวลา
ที่สังเกตุได้อย่างนึง คือ ..  โทสะ ไม่สามารถ สะสมมาก ๆ ได้อย่างแต่ก่อน เพราะมันเกิดแล้วดับ (แต่เร็วมากจริง ๆ)

ผลคือ เจ้าโทสะเหล่านี้ ไม่สามารถ ย้อมใจเรา จนทำให้เกิดเรื่องได้ (มหัสจรรย์ มากครับ)
เราเอง ถ้าโทสะย้อม ทีไร เสี่ยงจะสั่นมือสั่น แล้วขาดบางคราว ถึงขาดสติได้

แต่เหตุการณ์วันนั้น ทำให้ ผมศรัทธา ต่อวิธีการปฏิบัตินี้มาก ทำให้ผม นิ่ง (ภายนอก) เป็นน้ำในบึง นิ่งสนิท
รู้สึกได้เลย แล้วพอวางหูโทรศัพท์ (สายที่มันโทรมาด่านั่นแหล่ะ )
โทสะ ก็ดับสนิท ... เพราะเหตุและปัจจัย ดับไปแล้ว

เงียบ ....

สิ่งนึงที่ติดมาคือ จิตหลงไปคิด ครับ
อันนี้ แหละที่ยังแก้ไม่ตก คือ คราวใด ที่มีการคิด ทำให้โทสะ มันผุดแน่น ขึ้นมาอีก บางคราวรู้ทันมันก็ดับ
บางคราว รู้ไม่ทัน เกิดความรู้สึก "ไม่เป็นกลาง" ก็โทสะ ซ้อนเข้าไปอีก
เฉพาะวันนั้น คุ้มค่ามาก ๆ ที่ มีคนโทรมาด่า ผมเข้าวิปัสนา ได้เต็มที่มากเลยครับ ^_^
แล้วผลของมันยังมี ทรงตัวอยู่หลายวัน นะ ทำให้จิตไปคิด จิตฟุ้งซ่าน จิตมีโทสะทุกครั้งที่ไปคิด
ผมพยายาม ตามรู้ทันให้มากที่สุด

นึกดีใจครับ เลยแผ่เมตตาให้คนทีด่าไป (แหม มันมีบุญคุณ กับเราจัง อิอิ)
เรื่องผ่านมา 2=3 วันแล้วแต่ ทุกวันนี้ ยังไม่ได้คุยกับคนที่มันด่าเลยนะ แต่
ก็ทำให้เรา ปฏิบัติได้ ดี ตลอด เห็นสภาวะ ที่เราควบคุมมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตา
จริง ๆ เห็นได้เลย ฝึกจิตได้ดีขึ้นมากครับ
ตอนนี้ โทสะ เบา ๆ (ขัดใจเล็กน้อย) จิตจะรู้ ทันที มันเหมือนมันจำ โทสะได้แล้ว
ไม่ต้องไปนับ โทสะใหญ่ ๆ แล้วล่ะ ครับ

ที่เล่ามา หวังจะแชร์ความรู้ให้ฟังครับ
เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก ๆ

ไปทำงานต่อแล้วครับเพราะ ยังมีภาระกิจ มากมายรออยู่ (เฮ้อ .. T_T อยากให้วันนึงมี 48 ชั่วโมงจัง ! ว่าแล้ว
โมหะ ก็จับที่จิตทันที)

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พื้นฐานวิปัสสนาญาณ ( บังสุกุลเป็นกับบังสุกุลตาย )

บังสุกุลตาย
อนิจจา  วต  สังขารา  สังขาร 
      คือ ร่างกาย ไม่เที่ยงหนอ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นไม่ความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด
อุปปาทวยธัมมิโน 
     เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป  มันแก่ทุกวัน  นั่งคิดอย่างนี้
อุปปัชชิต์วา  นิรุชฌันติ 
     เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ตาย  ดับไป
เตสัง  วูปสโม สุโข 
     การไปถึงนิพพาน  นั่นคือ  สงบกาย  การสงบกาย  หมายความว่า ไม่มีร่างกายอย่างนี้  เป็นสุข นั่นคือ  นิพพาน

บังสุกุลเป็น
อจิรัง วตยัง กาโย ปฐวิง อธิเสสสติ ฉุฑโฑอเปตวิญญาโณ นิรัตถังวะ กลิงครัง 
     ร่างกายนี้อีกไม่ช้าไม่นานนัก  ก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว (คือ จะหมดวิญญาณ)  มันก็จะตาย 
     ร่างกายนี้เวลาที่เราอยู่  คนนั้นก็บูชา คนนั้นก็รักคนนี้ก็ชอบ ถ้าเราตายแล้วจริง ๆ แม้แต่เท้าเขาก็ไม่อยาก
     เขี่ยร่างกายของเรา  เขาเห็นสภาพร่างกาย  เป็นของน่าเกลียด  เขามีความรังเกียจในร่างกาย 
     มันก็สู้ไม่ท่อนที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้  ไม้ท่อนดีกว่า จงคิดว่า ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา 
     เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว








พระสอนในป่า จาก หนังสือ หลวงพ่อธุดงค์

ลำดับพระป่าตามอาวุโสปีเกิด (องค์ที่ 1)


ชื่อ - ฉายา : หลวงปู่จันทร์ สิริจนฺโท
เกิด : 20 มีนาคม 2399
คติธรรม คำสอนสำคัญ : เปล่า…ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครตาย นามรูป ธาตุขันธ์ อายตนะ เกิดขึ้นแล้วดับไปต่างหาก

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมถกรรมฐาน ระงับนิวรณ์ ๕

ภาวนาพุทโธไปจนกว่าจิตจะสงบ มีความสว่าง มีปีติ มีความสุข อันเป็นสมาธิขั้นสมถกรรมฐาน มีจุดมุ่งหมายที่จะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ คือ กามฉันทะ ความใคร่ในกามหรือความสุขสบาย พยาปาทะ ความพยาบาทเคียดแค้น ถีนะมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ วิจิกิจฉา ความลังเลไม่ตกลงใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมโดยเอาชีวิตเข้าแลก นี่คือจุดมุ่งหมายของการเจริญกรรมฐานขั้นสมถะ
กรรมฐานอันใดที่ เนื่องด้วยบริกรรมภาวนาพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ เป็นวิธีการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ใครปฏิบัติบริกรรมภาวนาอะไรก็ได้ จุดมุ่งหมายเพื่อระงับนิวรณ์ ๕ ให้สงบระงับไปจากจิตในขณะที่ภาวนาอยู่
กรรมฐาน อันใดสามารถทำจิตให้สงบ สว่าง มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง จิตรู้ ตื่น เบิกบาน นิวรณ์ ๕ หายไปหมดสิ้น กรรมฐานอันนั้นเป็นกรรมฐานที่ถูกต้องใครจะภาวนาแบบไหนอย่างไรก็ตาม เมื่อสามารถทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิ ขจัดนิวรณ์ ๕ ได้ เป็นการใช้ได้ทั้งนั้น ดังนั้น ณ โอกาสต่อไปนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายจงบริกรรมภาวนา ใครคล่องตัวในการบริกรรมภาวนา พุทโธ ก็ว่า สัมมาอรหัง ก็เอา ยุบหนอพองหนอ ก็ใช้ได้ หลักสำคัญ ให้ขจัดนิวรณ์ ๕ ได้ เป็นจุดมุ่งหมายของการเจริญสมาธิขั้นสมถะ อันนี้สำหรับผู้ที่เริ่มต้นสำหรับผู้ที่ภาวนาเก่งแล้ว จิตมีภูมิจิต ภูมิใจ มีภูมิธรรมเกิดขึ้น เมื่อภาวนาไป จิตเกิดมีความคิด ให้มีสติกำหนดตามรู้ความคิดเรื่อยไปสำหรับผู้ใหม่ ภาวนาพุทโธ พุทโธ เป็นต้น เมื่อจิตทิ้งพุทโธไปคิดอย่างอื่น ให้กลับมานึกพุทโธๆๆ ถ้าจิตสงบลงไปแล้ว หยุดว่าพุทโธ แต่มีปีติ มีความสุข นิ่ง ว่าง อยู่เฉยๆ ก็ปล่อยให้นิ่งว่างอยู่อย่างนั้น ถ้าหากเกิดความคิดขึ้นมา ปล่อยให้คิดไป แต่มีสติตามรู้ไปทุกขณะจิต นี่คือจุดเริ่มต้นของการภาวนา

 ขอบคุณ ที่มา : http://www.thaniyo.com

[จากผู้บันทึก : การทำสมถกรรมฐาน นั้น ต้องระมัดระวังการติดเพ่ง นะครับ ^_^ ครูบาอาจารย์ สายวิปัสนา ท่านว่ามาอย่างนั้น ครับ สำหรับบทความนี้ ที่คัดลอกมาให้อ่าน เฉพาะกลุ่มที่ รู้และระวังตัว เรื่องการติด สมถะนะครับ]

นิวรณ์ 5

 อกุศลธรรมที่คอยทำลายล้างความดี ก็มีนิวรณ์ 5 คือ
  1. กามฉันทะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์
  2. พยาบาท ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
  3. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญสมณธรรม
  4. อุทธัจจกุกกุจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน และความรำคาญหงุดหงิด
  5. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด 
นิวรณ์ คือสิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้

1.กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น (คำว่ากามในทางธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศเท่านั้น)

2.พยาปาทะ
คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ

3.ถีนมิทธะ
แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอนถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกัน มาก คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ
ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป
ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มิทธะนี้ไม่จัดเป็นกิเลส (พระอรหันต์ไม่มีถีนะแล้ว แต่ยังมีมิทธะได้เป็นบางครั้ง)

4.อุทธัจจกุกกุจจะ
แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ
อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็น เวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที
ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

5.วิจิกิจฉา
คือความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น

นิวรณ์ทั้ง 5 ตัวนี้ มีเฉพาะอุทธัจจะเท่านั้นที่เกิดขึ้นตัวเดียวได้ ส่วนนิวรณ์ตัวอื่น ๆ นอกนั้น เมื่อเกิดจะเกิดขึ้นร่วมกับอุทธัจจะเสมอ

นิวรณ์ทั้ง5 เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน 



ขอขอบคุณ ที่มา : http://blog.eduzones.com/sippa/267

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กว่าจะได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า "การได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก" แต่การดำเนินชีวิตให้ถูกทาง เมื่อเกิดมาแล้วยังยากกว่า
เพราะถ้าดำเนินชีวิตไม่ถูกทางแล้ว ชีวิตในอนาคตมีแต่จะตกต่ำลง ยากนักที่จะมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ในเมื่อตายไป

          การเกิดเป็นมนุษย์ต้องอาศัย "บุญ" มี "ทาน" เป็นต้น นำมาเกิด เรามีบุญจึงมาเกิดในแดนพระพุทธศาสนา จึงควรศึกษา
และสดับธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ให้ประพฤติในที่ชอบ ที่ถูก ที่ควร เป็นมงคล

          พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสัตบุรุษเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ที่พึ่งอันเกษม เป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพาน
อันไม่มีความแตกดับ ก้าวล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด

          สัตบุรุษนี้ ได้แก่ผู้สงบ คือ สงบจากกายทุจริต สงบจากวจีทุจริต สงบจากมโนทุจริต สัตบุรุษนั้นเป็น
ผู้มีศรัทธา เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อกรรมและผลแห่งกรรม เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตน เป็นผู้มีศีล เป็นผู้
มีพาหุสัจจะ คือสดับตรับฟังมาก มีหิริ ความละอายบาป มีโอตตัปปะ ความกลัวบาป มีจาคะ ยินดีในการให้ ไม่ตระหนี่ และมีปัญญา รู้จัก
อะไรควรทำ ควรพูด อะไรไม่ควรทำ อะไรไม่ควรพูด หรือ เราอย่าเป็นคนเก่งแบบพาล แต่จงเป็นคนเก่งในทางสร้างความดี

          วันหนึ่งๆ ให้เราพิจารณาดูว่า วันนี้เราทำอะไร ทำผิดหรือถูก ถ้าทำผิดก็จงงดไม่ทำเช่นนั้นอีก พิจารณาปรับปรุงแก้ไขตัวเรา ให้
ดีขึ้น ใจจะได้เป็นสุข
          พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวก ตลอดจนผู้ตั้งอยู่ในศีล ในธรรม ชื่อว่า สัตบุรุษ ในบรรดาสัตบุรุษเหล่านั้น
พระพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด สัตบุรุษมีปัญญาพาตนให้พ้นทุกข์ได้





ที่มา : ของข้อความนี้จาก หนังสือพระประวัติพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ โดย แฉล้ม อุศุภรัตน์

สัปปุริสธรรม ธรรมของสัปบุรุษหรือคนดี

สัปปุริสธรรม ธรรมของสัปบุรุษหรือคนดี หรือธรรมของมนุษย์ผู้มีความเป็นมนุษย์ สมบูรณ์ มี ๗ ประการ ศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติให้ได้ ก็จักสามารถรักษาคุณค่าแห่ง ความเป็นมนุษย์ทุกประการได้ 

สัปปุริสธรรม ๗ ประการคือ ๑. รู้จักเหตุ ๒. รู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักประชุมชน ๗. รู้จักบุคคล
           รู้จักเหตุก็คือรู้จักพิจารณาให้รู้ว่าเหตุใดจักให้เกิดผลใด ไม่ด่วนทำอะไรก็ตามโดยไม่พิจารณาให้รู้เสียก่อนว่าเมื่อทำแล้วผลที่เกิดจะเป็นเช่นไร ก่อนจะทำการทุกอย่างต้องรู้ว่า เป็นการทำที่เป็นเหตุดีหรือไม่ดี คือจะก่อให้เกิดผลดีหรือไม่ดี
           รู้จักผลคือรู้จักว่าภาวะหรือฐานะหรือสิ่งที่ตนกำลังได้รับได้ประสบนั้น เกิดจากเหตุใด เป็นผลอันเกิดจากการกระทำอย่างไร ไม่ด่วนเข้าใจว่าผลดีที่กำลังได้รับอยู่เช่นเงินทอง ของมีค่าที่ลักขโมยคดโกงเขามานั้นเกิดจากเหตุดีคือการลักขโมย แต่ต้องเข้าใจว่าความ ร้อนใจที่กำลังได้รับเพราะเกรงอาญาต่างๆ นั้นแหละเป็นผลของการลักขโมยคือต้องรู้ว่าผล ดีที่กำลังได้รับเกิดจากเหตุดีอย่างไร ผลร้ายที่กำลังได้รับเกิดจากเหตุร้ายอย่างไร ผลร้าย ต้องอย่าเข้าใจว่าเป็นผลดีอย่าเข้าใจว่าเป็นผลร้าย
           รู้จักตน คือรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร อยู่ในภาวะและฐานะอย่างไร การรู้จักตนนี้จำเป็น มาก สำคัญมากเพราะมีความหมายลึกลงไปถึงว่าเมื่อรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร มีภาวะและ ฐานะอย่างใดแล้ว จะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับภาวะและฐานะของตน จะได้รักษาความ มีค่าของตัวไว้ได้ ผู้ปฏิบัติไม่เหมาะสมกับภาวะและฐานะจักเสื่อมจากค่าของความเป็น มนุษย์ที่ตนเป็นอยู่
           รู้จักประมาณ คือรู้จักประมาณว่าควรทำสิ่งใดเพียงใดที่เป็นการพอเหมาะพอควรแก่ ภาวะและฐานะของตน พอเหมาะพอควรแก่ผู้เกี่ยวข้อง พอเหมาะพอควรแก่เรื่องราว มีพุทธ ภาษิตกล่าวไว้ว่า “ความรู้จักประมาณยังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ”
           รู้จักกาล คือรู้จักเวลา รู้ว่าเวลาใดควรทำหรือไม่ควรทำอะไร การทำผิดเวลาย่อมไม่ เกิดผลสำเร็จ ย่อมไม่เกิดผลดีเท่าที่ควร
           รู้จักประชุมชน คือรู้จักภาวะและฐานะนิสัยใจคอบุคคลนั้นๆ ให้ถูกต้อง เพื่อว่าจะได้ ปฏิบัติตนที่เกี่ยวข้องด้วยให้เหมาะให้ควรแก่ประชุมชนนั้น
           รู้จักบุคคล คือรู้จักภาวะและฐานะนิสัยใจคอของบุคคลนั้นๆ ให้ถูกต้อง เพื่อว่าจะได้ ปฏิบัติตนที่เกี่ยวข้องด้วยให้เหมาะให้ควร รู้จักว่าเขาเป็นพาลจักได้หลีก รู้จักว่าเขาเป็น บัณฑิตคือคนดีจักได้เข้าใกล้ ให้เหมาะแก่แต่ละบุคคลไป ภาษิตที่ว่า “คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” จักเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรู้จักบุคคลนี้แหละ
           สัปปุริสธรรม ๗ ประการดังวิสัชนามานี้แหละจักทำให้ผู้รู้แม้พอสมควรทุกคนแล้ว ปฏิบัติด้วยดี จักสามารถรักษาค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของตนไว้ได้ด้วยดีแล



พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น

" ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ
   ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง
   ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะแสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
   ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด ให้
   จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบ
   เล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด
   ความเบื่อหน่ายคลายเมา ไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคายด้วยจะเป็นสัมมาวิมุตติ
   และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก
   พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วง ไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ หน้าปัญญา
   อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ "

            โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
            (บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
            จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

" จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์
  จะรักษามันก็ทุกข์ หมดไปก็เป็นทุกข์อีก
  กลัวคนจะจี้จะปล้น ไปคิดดูเถอะมันไม่จบหรอก
  มีแต่เรื่องยุ่ง เอาดี ดีกว่า"

.......หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

 

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ

               พระพุทธเจ้าแทน ที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง

   มา อนุสฺสวเนน           อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
   มา ปรมฺปราย             อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
   มา อิติกิราย               อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
   มา ปิฏกสมฺปทาเนน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
   มา ตกฺกเหตุ               อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
   มา นยเหตุ                 อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
   มา อาการปริวิตกฺเกน     อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
   มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา  อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
   มา ภพฺพรูปตา            อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
   มา สมโณ โน ครูติ      อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

  สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้  


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย
เอก-ทุก-ติกนิบาต เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร).  

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีเจริญจิตภาวนา


วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอน
ของหลวงปู่ดุลย์  อตุโล  มีดังต่อไปนี้                                                      
๑. เริ่มต้น ด้วยอิริยาบถที่สบาย  
ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก 
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ  รู้อยู่กับที่   
โดยใม่ต้องรู้อะไร  คือ  รู้ตัวอย่างเดียว                       
รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรี่อย   ๆ  
ให้  ''รู้อยู่เฉย ๆ''  ใม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ
อย่าบังคับ อย่าพยายาม 
อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม                   
เมื่อรักษาได้สักครู่ 
จิตจะคิดแส่ใปในอารมณ์ต่าง ๆโดยไม่มีทางรู้ทันก่อน
เป็มธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ 
ต่อเมี่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้น ๆ จนอิ่ม เล้ว
ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง   
เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง
ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่   
และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์
ว่ามีความแตกต่าง กันอย่างใร เพี่อเป็นอุบายสอนจิต ให้จดจำ 
จากนั้น  ค่อย  ๆ รักษาจิต ให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป 
ครั้นพลั้งเผลอรักษาใม่ดีพอ 
จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว 
ก็จะกลับรู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อใป
ด้วยอุบายอย่างนี้ ใม่นานนัก  
ก็จะสามารถควบคุมจิตใด้  และบรรลุ
สมาธิในที่สุด และจะเปีนผู้ฉลาดใน   "พฤติแห่งจิต"  
โดยใม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม  
ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่  
อย่าทำ  เพราะใม่มีประโยชน์  
และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร
ไม่มีกำลังใจใน การเจริญจิตครั้งต่อ  ๆ ไป
ในกรณีที่ใม่สามารถทำเช่นนื้ 
ให้ลองนึกคำว่า 'พุทโธ'   
หรือคำอะไรก็ได้ ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน 
หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ 
นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตุดูว่าคำที่นึกนั้น 
ชัดที่สุดที่ตรงใหน ที่ตรงนั้นแหละคือ ฐานแห่งจิต       
พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่ อยู่คงที่ตลอดกาล 
บางวันอยู่ที่หนึ่ง   บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฎชัดที่สุดนึ้
ย่อมไม่ อยู่ภายนอกกายแน่นอน
ต้องอยู่ภายในกายแน่   
แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว  
จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก 
ดังนั้น จะว่าอยู่กายนอกก็ใม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง  เมื่อ
เป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแถ้ว
 เมื่อกำหนดถูก   และพุทโธปรากฎในมโนนึกชัดเจนดี   
ก็ให้กำหนดไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้  
ถ้าขาดสายเมี่อใด จิตก็จะแล่นใปสู่อารมณ์ทันที 
เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว   จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อย   ๆ  
นึกพุทโธต่อใปด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น  
ในที่สุดก็จะค่อย  ๆ  ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
 ข้อควรจำในการกำหนดจิตนั้น   ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่  
ในอันที่จะเจริญจิตให้อยุ่ในสภาวะที่ต้องการ
เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"
การบริกรรม   ''พุทโธ''   เปล่าๆ      
โดยไร้เจตจำนง ไม่เกิดประโยชน์ อะ ไรเลย 
 กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร  
ทำลายกำลังใจ ในการเจริญจิต ในคราวต่อ  ๆ  ไป
 แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง   
การเจริญ จิตจะปรากฎผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อย
อย่างแน่นอน
 ดังนั้นใน การนึกพุทโธ  การเพ่งเล็ง สอดส่อง  
ถึงความชัดเจน  และ ความ ไม่ขาด สายของพุทโธ 
จะต้องเป็น ไปด้วยความ ไม่ลดละ
เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้  
หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า  
มีลักษณาการ ประหนื่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบ
ที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา 
บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา 
ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
เจตจำนงต้องแน่วแน่ เห็นปานนี้  
จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา
และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย
เมื่อจิตค่อยๆ  หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย   ๆ  
อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก  ก็ค่อยๆ  ลดความรุนแรงลง  
ถึงใปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าว  ก็รู้สึกตัวได้เร็ว  
ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ  ก็จะขาดใปเอง  
เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบเมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบ   
และคำบริกรรมขาดไปแล้ว  ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก   
เพียงรักษาจิตไว้ใน ฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อย ๆ   
และสังเกตดูความรู้สึกและพฤติแห่งจิต  ที่ ฐานนั้นๆ
บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่าใครเป็น ผู้บริกรรมพุทโธ
๒.  ดู จิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ ฐานเดิมเช่นนั้น  
เมื่อมี อารมณ์อะไรเกิคขึ้น  ก็ให้ละอารมณ์ทิ้งใป   
มาดูที่จิตต่อไปอีก  ใม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่
ในฐานที่ตั้งเสมอ   ๆ   สดิคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบ   ๆ  (รู้อยู่)  
ใม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใด   ๆ  ที่เกิดขึ้น  
เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อย  ๆ 
ก็จะค่อย  ๆ เข้าใจ กิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง  (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)
ทำความเข้าใจในอารมณ์ทั้งสาม คือ ราคะ โทสะ โมหะ
 ๓.  อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น  
อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ ภายนอก  
เมื่อจิตเผลอคิดใป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิมรักษา
สัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ  
(รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)
ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก    
สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖
๔.  จงทำญาณให้เห็นจิต  เหมือนดั่งตาเห็นรูป 
เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆจนเข้าใจ
ถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่าง ๆได้แล้ว
จิตก็จะค่อยๆ  รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ  
อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ  ก็จะค่อยๆ   ดับใป 
 
 
จากหนังสือเรื่อง"หลวงปู่ฝากไว้" ของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
 

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หลักการเรียน ธรรมมะ (อาจารย์ผมเอง)

เรียนธรรมะ

 
เรียนธรรมะ อย่าตระกละ ให้เกินเหตุ
จะเป็นเปรต หิวปราชญ์ เกินคาดหวัง
อย่าเรียนอย่าง ปรัชญา มัวบ้าดัง
เรียนกระทั่ง ตายเปล่า ไม่เข้ารอย
   
เรียนธรรมะ ต้องเรียน อย่างธรรมะ
เรียนเพื่อละ ทุกข์ใหญ่ ไม่ท้อถอย
เรียนที่ทุกข์ ที่มีจริง ยิ่งเข้ารอย
ไม่เลื่อนลอย มองให้เห็น ตามเป็นจริง
   
ต้องตั้งต้น การเรียน ที่หู,ตา ฯลฯ
สัมผัสแล้ว เกิดเวทนา ตัณหาวิ่ง
ขึ้นมาอยาก เกิดผู้อยาก เป็นปากปลิง
"เรียนรู้ยิง ตัณหาดับ นับว่าพอ" ฯ
   
พุทธทาสภิกขุ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เหตุใดจึงมาเกิดเป็นมนุษย์



สาเหตุของการเกิดของมนุษย์นั้น มีเจตจำนงค์ในการปฏิสนธิแตกต่างกัน ดังนี้
  
1.เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม 
ชาติ ก่อนทำบุญไว้มาก ทำบาปไม่เกิน 30 % ของกรรมทั้งหมด พอตายไปขึ้นสวรรค์ เสวยสุขไปชั่วระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจ จึงตัดสินใจลงมาใช้กรรมเก่าชั่วคราว คนผู้นี้เมื่อมาเกิดใหม่ จะได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ความเดือดร้อนนั้นจะไม่มีพลังหักเหให้เขาหัน กลับไปทำความชั่วอีก เมื่อชดใช้กรรมหมดแล้ว ก็จะได้กลับไปเสวยสุขบนสวรรค์อีก
2.เกิดมาเพื่อสร้างบารมี 
เมื่อโลกมนุษย์เกิดความ ระส่ำระสาย เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จะคัดเลือกเทพลงมาช่วยแก้สถานการณ์ เทพเหล่านี้เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ตลอดชีวิตจะต่อสู้เพื่อสังคม เพื่อความดีงาม เพื่อเสรีภาพไม่หยุดหย่อน แม้ภาวการณ์คลี่คลายลง เทพนั้นก็จะละร่างไปเสวยสุขในโลกเบื้องสูงต่อไป
3.เกิดมาเพื่อเป็นประมุข เป็นผู้นำ
เทพบางองค์ยอมเสียสละความสุขบนสวรรค์ลงมาเกิดเพื่อเป็นผู้นำหรือเป็นประมุขปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข เป็นการสร้างบารมีไปในตัวด้วย
 
4.หนีนรกมาเกิด 
สัตว์ นรกบางตนใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ ครั้นนายนิรยบาลทราบเรื่องก็จะให้ยมทูตมาเอาตัวกลับไปทรมานอีก สัตว์นรกในร่างมนุษย์นั้นจะอายุสั้นตายตั้งแต่อายุยังน้อย
5.หนีแดนโจรมาเกิด 
สัตว์ในแดนโจรบางตน ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรแต่ยังไม่หมดกรรม ก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ ทำให้มาเกิดเป็นคนพิการแต่กำเนิดหรือมีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการในที่ สุด
        
6.หนีแดนเปรตมาเกิด
 
เปรตที่ยัง ไม่หมดกรรม หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ จะเป็นผู้ที่อดอยากยากไร้หิวโหย หาได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อดมื้อกินมื้อ หรือกินแต่ของบูดเน่า ของเหลือเดน
7.หนีแดนปีศาจมาเกิด 
ผู้ที่ชอบรีดนาทาเร้น คดโกงผู้อื่น ตายไปแล้วต้องไปต่อสู้ฟาดฟันกันเองในแดนปีศาจ บางตนใช้กรรมยังไม่หมดก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ คนพวกนี้จะเป็นคนอาภัพ ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมและผู้เกี่ยวข้อง
8.เกิดมาเพื่อเสวยสุข 
บางคนทำบุญไว้น้อย ทำบาปไว้มาก จึงต้องไปรับกรรมในอบายภูมิ เพื่อชดใช้กรรมหมด ก็ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อรับผลของบุญที่ทำไว้ คนพวกนี้จะมีนิสัยเลวร้ายชอบเอาเปรียบคดโกง แล้วร่ำรวยเพราะการกระทำดังกล่าว เขาจะเสวยสุขเพื่อรอวาระสุดท้ายในชีวิต ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิม
9.เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม 
เทพเจ้าบาง องค์ ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันตสาวก ฯลฯ แม้ตัวท่านจะมีบุญบารมีมากมาย แต่เขายังบกพร่องในบารมีธรรมบางข้อ ท่านจึงได้อำลาพรหมโลก ละทิ้งป่าหิมพานต์ หนีจากแดนบาดาลมาเกิดเป็นมนุษย์ คนพวกนี้จะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญบารมี ไม่ยอมสะสมหลักฐานหรือทรัพย์สมบัติใดเพื่อตนเอง ท่านจะยอมลำบากลำบน ทำแต่ความดี สร้างบารมี บางครั้งคนทั่วไปเลยหาว่าโง่
10.เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ  
บาง คนไม่สนใจเรื่องบุญบาป นรก สวรรค์ คนพวกนี้ทำบุญไว้มากกว่าบาป แต่บุญไม่มากพอที่จะส่งขึ้นสวรรค์ บาปก็ไม่มากพอที่จะส่งลงนรก เมื่อตายไปแล้วจึงต้องกลับมาเป็นมนุษย์อีก เสวยผลกรรมตามที่ทำไว้ในอดีตชาติ เขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นสามัญชนทั่วไป แสวงหารักแท้ ดิ้นรนเพื่อหน้าที่การงาน ต่อสู้เพื่อให้มีหลักฐานความมั่นคง ทำดีเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ
11.เกิดมาเพื่อทำลายล้าง 
บางคนเป็นคนที่มากไปด้วย ความแค้น ไม่ยอมใคร หากในอดีตชาติเขาถูกศัตรูกลั่นแกล้งทรมาน เขาจะต้องหาทางแก้แค้น หากไม่ทันได้แก้แค้นและศัตรูตายไปก่อน เขาก็จะยังไม่ยอมเลิกรา ด้วยอำนาจความแค้นจะทำให้เขาเกิดร่วมชาติกับศัตรู เพื่อตามทำลายล้างกันตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ลูกชายเจ้าสำราญ ล้างผลาญทรัพย์สินของพ่อแม่ที่อดออมมาเป็นเวลานาน , ภรรยา โขกสับสามี จิกหัวใช้สามีเยี่ยงทาส ,  อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษาจนต้องลาออก ไม่ได้รับประกาศนียบัตร , ประกอบการค้าเล็กๆ แต่ก็ถูกนายทุนใหญ่กลั่นแกล้งจนตัวเองล่มจม
12.เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป 
บางคนทำบุญไว้มาก แต่ไม่เคยประพฤติศีลในครบถ้วน เมื่อตายไปได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่รู้จักประพฤติตนให้เหมาะสม เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จึงใช้อำนาจบันดาลให้เขามาลงรับบทเรียนบางอย่างในโลก มนุษย์ มนุษย์พวกนี้ลงมาเกิดด้วยฤทธิ์คำสาปของสวรรค์ และด้วยบุญที่ทำมามาก เขาจึงมาเสวยสุขในโลกมนุษย์ แต่เป็นแบบมีขอบเขต เช่น มีเงินทองมากมาย แต่คิดทำการใหญ่เมื่อใด ก็จะขาดทุนป่นปี้ มีอาการแพ้วัตถุบางอย่าง เช่น ขึ้นเครื่องบินไม่ได้ เพราะมีอาการแพ้รุนแรง หรือ ต้องบูชาเทพบางองค์ ถ้าขาดบูชาเมื่อใดมักมีเรื่องเดือดร้อนตามมา
13.เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ 
บางคนทำความดีไว้มาก ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ได้รับความเมตตาจากเทพฝ่ายบริการ ครั้นสนิทสนมกันดีก็สงสัยว่าไฉนเทพฝ่ายบริการซึ่งบุญบารมีใกล้เคียงกับตนเอง จึงมีฤทธิ์เหนือกว่า สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์ โลกมนุษย์และโลกทิพย์ได้ จึงตั้งความปรารถนาที่จะมีฤทธิ์แบบเทพฝ่ายบริการบ้าง จึงขออนุญาติเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ลงมาสร้างฤทธิ์อำนาจในโลกมนุษย์ มนุษย์พวกนี้จะมาเกิดในหมู่โจร เกิดท่ามกลางคนชั่วคนเลว อันธพาล ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองที่มีอำนาจ นี่คืออุปสรรคหรือบททดสอบสำหรับเขา ถ้าเขาปรับตัวเข้ากับบุคคลหล่านั้นได้ ยอมร่วมมือทำความชั่ว เขาจะมีความสุข มีอำนาจในโลกมนุษย์ แต่จะไม่มีฤทธิ์อำนาจตามที่ปรารถนาเอาไว้ ถ้าเขาเข้มแข็ง เป็นคนดีในหมู่โจร ไม่ยอมทำความชั่วแม้จะถูกบีบคั้น เมื่อเขาตาย ก็จะตายในขณะที่คุณความดียังอยู่ เมื่อเขาตาย สวรรค์จะต้อนรับเขา เขาคือ ครูญาณ ทูตสวรรค์ เขาจะมีฤทธิ์อำนาจไปมาข้ามห้วงเวลาได้ สามารถปรากฎตัวในโลกมนุษย์เพื่อรับวัตถุทานที่บุตรหลานบำเพ็ญกุศลไปให้ หรือปรากฎตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข  หรือปรากฎตัวในอบายภูมิเพื่อศึกษาเรื่องผลของกรรม
14.เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต 
มนุษย์บางคนเกิด มาทำบุญน้อย ทำบาปมาก หลังจากตายแล้วต้องรับโทษ เมื่อรับโทษหมดไปประมาณ 90 % ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินชีวิตแบบเดิมคือ ทำบุญน้อย ทำบาปมาก วงจรชีวิตจะหมุนเวียนระหว่างโลกมนุษย์กับอบายภูมิ จนก่อนละโลกครั้งหลัง เขาได้พบสมณชีพราหมณ์ เกิดความเลื่อมใส ทำให้เริ่มหันหน้าเข้าวัด แต่ผลบุญยังน้อยมิอาจต้านทานกระแสบาปได้ ตายไปจึงต้องไปรับทุกข์ในอบายภูมิตามเดิม ก่อนตายได้ตั้งสัตย์อธิษฐานว่าจะทำความดีเพื่อไม่ให้ตกต่ำไปกว่าเดิม ดังนั้น เมื่อเกิดมาก็ยังต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นคนอาภัพ ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ แต่เขาจะฝืนทำความดี ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส เมื่อจบชีวิตแล้ว ทูตสวรรค์จะมารับวิญญาณไปสู่สวรรค์เบื้องสูง วงจรชีวิตจะเปลี่ยนไป ได้เสวยสุขในสวรรค์
15.เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา 
เมื่อใดที่ศาสนา เสื่อมทรามจนเหลือแต่หลักวิชา และพระโพธิสัตว์จะมาจุติในโลก เหล่าทวยเทพจะติดตามลงมาเพื่อช่วยกันประกาศหลักธรรม เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป
16.เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์ 
ในโลกธาตุหนึ่ง จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พร้อมกันสองพระองค์พร้อมกันมิได้เป็นอันขาด ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ครบครันมั่นคง หากจะมีใครคนหนึ่งอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เขาผู้นั้นเป็นคนโกหกหลอกลวงอย่างหน้าด้านที่สุด  ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประดิษฐานพระศาสนา พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะติดตามลงมาเกิด เป็นมนุษย์ เพื่อรับพุทธพยากรณ์ เป้าหมายของพระโพธิสัตว์ คือ พุทธภูมิ ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างไร พระโพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้ พระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น
17.เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์  
บางคนเคยทำบุญร่วมกัน แต่ไม่ได้ทำบาปร่วมกัน คนหนึ่งตายแล้วไปสวรรค์ อีกคนหนึ่งเกิดบนโลกมนุษย์ คนที่เกิดบนโลกมนุษย์จะยิ่งได้รับผลบุญมากเต็มที่เมื่ออยู่ร่วมกับคนที่อยู่ บนสวรรค์ หากคนที่อยู่บนสวรรค์ลงมาเกิดและอยู่ร่วมด้วย คนที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกบางคนเกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย ค้าขายคล่อง การงานก้าวหน้า แต่ตัวลูกเองประพฤติตัวเกเร ถ้าพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านก็จะทำให้ความเป็นอยู่ของพ่อแม่เดือดร้อนอีก
18.เกิดมาเพื่อรับใช้อุปัฎฐาก 
เมื่อเทพเจ้าจุติลง มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเพิ่มเติมบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม เทพฝ่ายบริการ เทพผู้รับใช้ประจำตัวจะติดตามลงมาเกิด โดยทิ้งช่วงห่างประมาณ 10 ปีถึง 25 ปี เมื่อเทพเจ้าพระองค์นั้น (ในร่างมนุษย์) สร้างบารมีตนเอง เทพรับใช้ก็จะมามอบตัวเป็นลูกศิษย์คอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแลเทพองค์นั้น เมื่อเทพองค์นั้นอำลาจากโลกมนุษย์ เทพรับใช้ก็จะอยู่ปฏิบัติงานจนเรียบร้อยแล้วก็จะติดตามกลับไปรับใช้ในโลก ทิพย์ต่อไป
19.เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม 
เทพเจ้าผู้สละ พรหมโลกมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพเจ้าผู้ปกครอง ปกติจะเป็นนักบวช อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองของศาสนา เป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ไม่หวังลาภยศ วางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่องและคำด่า เพราะในหัวใจของท่านอัดแน่นไปด้วยฮัมมตัณหา ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับกามตัณหา
20.เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ 
ยามใดที่โลก มีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดน้อย วิญญาณชั้นต่ำมาเกิดมาก พวกเทพจะอาสามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ เทพเหล่านี้จะได้รับความเจริญในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน ประเพณีโบราณได้แก่ ศิลปะวิทยาการอันเก่าแก่ เช่น ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดนตรี การขับร้องฟ้อนรำ วรรณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม วัฒนธรรม

          จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดมาทำไม ทำไมถึงต้องเกิดมา สิ่งเหล่านี้ล้วนหนีไม่พ้นเรื่อง "บุญ และ บาป " แต่การที่เราเกิดมาแล้วเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือในชาตินี้ ว่าเราเลือกที่จะทำ  บุญ  หรือ บาป แล้วคุณล่ะ.......เลือกอะไร ?


ขอบคุณที่มา:ชำแหละกฎแห่งกรรม เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่
ที่มา (2) : http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1368

ตายแล้วไปไหนบ้าง

ลอกมาให้อ่านกันน่าสนใจดีครับ


การที่คนตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไรนั้น คนตายเท่านั้นที่สามารถรู้ได้ในเวลาใกล้จะสิ้นใจญาติๆ ไม่สามารถที่จะทราบได้
             แต่ท่านมีหลักตรวจสอบ คือ สำหรับคนตาย มีนิมิต ๕ ประเภทคือ
                   ๑. อัคคิขันโธ เปตะโลเก  เห็นกองไฟในขณะดับจิต จะเกิดเป็นเปรต
                   ๒. มังสเปสิ มะนุสเสสิ     เห็นก้อนเนื้อในขณะจะดับจิต  จะเกิดเป็นมนุษย์
                   ๓. อันธการัง  นิรเย         เห็นเมฆหมอกมืด เกิดเป็นสัตว์นรก
                   ๔. วะนะชะฏัง ติรัจฉาเน   เห็นป่ารกชัฏในขณะจะดับจิต เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
                   ๕. วิมานัง เทวะโลเก       เห็นวิมานในขณะดับจิต เกิดเป็นเทวดา
              สำหรับคนที่นั่งเฝ้าไข้ดูใจ มีหลักการดูการเกิดของญาติ คือ
                   ๑. ปะชุณเห นิระเย คะเต  ถ้าตายในเวลากลางคืน เกิดเป็นสัตว์นรก
                   ๒. เปเต อัฎฐัง คเต ปิจะ   ถ้าตายในเวลาย่ำค่ำ  เกิดเป็นเปรต
                   ๓. สายัณเห ติรัจฉาเน      ตายในเวลาสายัณห์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
                   ๔. ปุพพัณเห มะนุสเส      ตายในเวลาเช้า กลางวัน เกิดเป็นมนุษย์
                   ๕. อัฑฒะคะเต เทวะโลเก ตายในเวลาจวนสว่าง เกิดเป็นเทวดา
             ญาติอยู่ข้างหลัง อาจจะรู้ว่าญาติของตน ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร จากเวลาตายของเขาดังที่ได้กล่าวมา ดังนี้


ใช้วิจารณญาณ ประกอบความเชื่อครับ
ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปตามแรงกรรม ครับ แน่นอนที่สุด
หมั่นทำความดี กันไว้ครับ ไม่ใช่แค่ทำบุญทำทาน นะ ต้องเจริญวิปัสนา ไปเรื่อย ๆ

มีสติ รู้กาย รู้ใจ (จำเค้ามา แต่ใช้ได้ผลจริง ๆ )

 ที่มา : http://www.watkhuhasawan.com/webboard/index.php?topic=91.0
..

เกิดเป็นมนุษย์นี้ยาก (พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร)




การเกิดเป็นมนุษย์นี้ ท่านว่ายากเย็นเหลือเกิน เหมือนกับ  
เต่าตนุตาบอดซึ่งจมอยู่ในท้องมหาสมุทร กว่าจะโผล่ขึ้นมา
จากท้องมหาสมุทรนั้นมันแสนยากทั้งตาบอดเสียด้วย 
ไม่ทราบว่ากิ่งไม้หรือต้นขอนต่างๆ มันอยู่ที่ไหน เมื่อโผล่
ขึ้นมาได้ ทั้งได้เกาะได้อาศัยไม้นับเป็นโชคลาภ

การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยากลำบากเหลือเกินเพราะกว่าจะ

เกิดได้ ภพชาติอื่นๆ มันมีมาก สัตว์น้ำก็นับอย่างไม่ได้ สัตว์ก็นับ
อย่างไม่ได้และเกิดง่ายสะดวกสบาย ไม่เหมือนมนุษย์เรา


มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เหตุใดจึงว่าประเสริฐ
พระพุทธเจ้าหรือเหล่าพระอรหันต์
ปัจเจกพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งนั้น
ไม่ใช่เกิดเป็นอันอื่น


ฉะนั้นจึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ควรชำระจิตใจของตัวให้

ประเสริฐ ตามเยี่ยงอย่างที่พระพุทธเจ้าของเราเคยกระทำบำเพ็ญมา 
ไม่อย่างนั้นการเกิดของเราก็จะเป็นหมัน เป็นโมฆะ หาสาระ
อะไรไม่ได้


สัตว์เขาเกิดเขาตายเหมือนกับเรา
แต่เขาไม่ประเสริฐก็เพราะเขาไม่ได้คิดในทางดีของเขา
ตื่นมาก็หากิน อิ่มแล้วก็หลับนอน นี่เรื่องของสัตว์
ไม่ว่าสัตว์บ้านสัตว์ป่าเป็นอย่างนั้น จะจำศีลอย่างไร
จะภาวนาอย่างไร จิตใจของสัตว์ไม่เคยนึกคิดเรื่องเหล่านี้


แต่มนุษย์เราคนที่ประมาทเมินเฉย ก็ทำนองเดียวกับสัตว์ เพียง

แต่กินแต่อยู่เท่านั้น ไม่ได้คิดกำจัดกิเลสตัณหา มานะ ทิฐิละชั่ว 
บำเพ็ญดี มีแต่แสวงหามาใส่ปากใส่ท้องของตัว แล้วก็ หลับนอน 
ก็เพลิดเพลินกันไปตามเรื่องของกิเลสตัณหา

ไม่ได้คิดว่าการเกิดของตัวมันยากมันลำบาก กว่าจะได้เกิดแต่ละ

ครั้งแต่ละหน เมื่อไม่คิดอย่างนี้ การสะสมคุณงามความดีอะไร
มันก็ไม่อยากกระทำบำเพ็ญ เพราะเห็นว่าการเกิดไม่ยุ่งยาก
ลำบากอะไร เพราะไม่ได้คิดถึงเหตุผลต้นปลายอะไรเพียงเกิด
ได้ก็ว่าตัวเกิด ตัวดีเท่านั้น ผลที่สุดตายไป

เมื่อไมได้ทำบุญสุนทาน เมื่อไมได้สร้างคุณงามความดีอะไรไว้ 

จิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เต็มไปด้วยมานะทิฐิต่างๆ ไม่มีบุญ
กุศลส่วนใดที่จะสนับสนุนให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพบุตร
เทพธิดาหรืออินทร์พรหมได้

มันก็ไปสู่อบาย คือทางชั่วทางเสีย อบายนั้นพวกเราท่านก็ได้ยิน

แต่ในตำรับตำราว่า มันทุกข์ มันยาก มันลำบาก มันรำคาญ
ขนาดไหน อบายนั้นไม่ได้หมายถึงนรกถ่ายเดียว เปรต อสุรกาย 
สัตว์เดรัจฉานก็หมายถึงอบายด้วย


ที่มา  : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15696

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มรณานุสติกรรมฐาน


         มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตาย
เป็นของธรรมดา ของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตาย
ในที่สุดเหมือนกันหมด ความ ตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป 
ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย 
แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์ อะไร ? ปัญหาข้อนี้
ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดา
จริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึง
ตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตาย
มาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายาม ทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใคร จะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน 
เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดาไม่มีทาง
ทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดา
เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า  


ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดา
ไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็น สาม อย่างด้วยกัน คือ


         ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของ
พระอรหันต์ ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด 
คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับ ท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ 
ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่า ตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก
 

         ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ 
ความดับ หรือการ เคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป 
ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือ
เป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิด ต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหาร
เก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจ ของอาหารเก่า ร่างกาย
ต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็
จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของ
อาหารเก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน 
ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหาร
เก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกาย
ก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุน
ทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามี ความตายเป็น
ปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือ 
ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ
 

         ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัย
ที่ชาวโลกนิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาล
มรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรม
บางอย่าง ที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อ
ให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ 
พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบ
อกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหาที่เกิด
ก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรม
ชั่วที่ทำไว้ขณะที่ ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ 
ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า 
ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัด
ตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตาม ธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ 
คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือสามารถช่วย
ให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะ-
เคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้อง ทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบ
หมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อ
ชีวิตหมอให้มีความสุขส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาใน
พระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุ-วัฒนสามเณร

ที่มา :  http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=268

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พฤติกรรมจิต (เวอร์ชั่น อยากเล่าให้ฟัง)

ไปอ่านมาเวปนึงครับ เห็นว่า จริง ตามที่เค้ากล่าวไว้ เพราะเป็นประสบการณ์
ตรงของตัวเองเลยว่า ปัจจุบันนี้ โทสะ แรง ๆ ไม่เกิดต่อในจิต แล้ว แต่ที่เกิด
แล้วเห็นเลย คือ ความขัดใจ ขัดข้องใจเล็กน้อย นี่ ชัดมากเมื่อมันเกิด


ความจริงเมื่อจิตเกิดสติสัมปชัญญะนั้น จะเกิดมหากุศลจิตขึ้นมาทันที 
อำนาจของการเจริญสติสัมปชัญญะจะทำให้กิเลสทำงานไม่ได้ เมื่อนานเข้า 
อนุสัย ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดที่ซ่อนตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกจะอ่อนกำลังลง 
เพราะมันไม่สามารถเจริญงอกงามเป็นกิเลสหยาบๆ ขึ้นมาได้ 
(เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน) ถ้าเราคอยตัดยอดทิ้งไปเรื่อยๆ 
ไม่ให้ปรุงอาหารได้ หัวของมันก็จะค่อยๆ ฝ่อไปเพราะขาดอาหาร)

(ที่มา  http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=29387  ขอขอบพระคุณครับ)


ถ้าเราฝึกไปเรื่อย ๆ พฤติกรรมของจิตจะเปลี่ยน เป็นแบบนี้ล่ะครับ ผมเองก็เป็นคล้าย ๆ
แบบนี้ล่ะครับ 


^_^ พยายามกันต่อไป
สู้ ๆ 


สุตตธัมโม.
.

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำความเข้าใจ

อ่านมาถึงวันนี้แล้ว

ผู้เขียนขอทำความเข้าใจว่า บทความแต่ละบท โดยเฉพาะ หมวด "ตู้คำสอน" นั้น
ผู้เขียน ลอกมาล้วน ๆ  ครับ ไม่มีการ แต่งเองแต่ประการใด ทั้งนี้ มุ่งมั่น ที่จะจัดเก็บ
และเผยแพร่ เท่านั้น ไม่ได้หวังผลประโยชน์ใด ๆ ครับ ฃ
ส่วนการให้ เครดิต ผู้แต่ง อย่างไร ถ้าผมทราบ ผมจะขอลงไว้ให้ แต่ส่วนใหญ่
ผมจะลง เป็น วาทะ โอวาท ข้อคิด ของพระอาจารย์ รูปนั้น ๆ ครับ

ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่มีผลกันอยู่แล้ว
บางท่านอ่านแล้วขอให้ทำความเข้าใจครับ
บางครั้ง บางเวลา คนเราอาจจะอยากอ่านอะไรที่ทำให้ได้ สติในทางโลกได้บ้าง

เพื่อทราบครับ และ ผู้เขียน ต่อไป จะใช้ คำว่า "ผู้บันทึก" แทน ครับ

จริง ๆ แล้วบท ความ ข้อความเหล่านี้ก็หาได้จาก Internet ทั่วไปล่ะครับ
แต่ แรงบันดาลใจ ที่จะรวบรวม มีมากกว่า ก็เท่านั้น ไม่มี อะไรแอบแฝง
ใครอ่านแล้วได้ประโยชน์ อย่างไร ก็ขอแสดงความยินดีครับ
และหวังว่า คงไม่มีใครอ่านแล้ว จะทุกข์ใจ อะไรกับ ข้อความเหล่านี้ครับ

ด้วยความนับถือ
สุตตธัมโม. (ผู้บันทึก)
..
....

โอวาท หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

เมื่อสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้นจะต้องรู้เท่าทัน
อย่าไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งได ถือสิ่งไดสิ่งนั้นไม่เป็นไปตาม
ใจหวัง ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ยึดเอาถือเอาเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
ย่อมมีความไม่เที่ยงอย่างนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปเกิดขึ้นใหม่
ตั้งอยู่ ก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้

วันเวลาที่หมดไปสิ้นไปโดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้าง
ในชีวิตที่เกิด มาในโลก และได้พบพระพุทธศาสนานี้ช่างเป็นชีวิตที่น่า
เสียดายยิ่งนักเวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวน
มหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้านบาทก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ฉะนั้น
สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับ ปล่อยวันเวลา
ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว

"มรณกรรมฐาน" นี้เป็นยอดกรรมฐานก็ว่าได้ คนเราเมื่ออาศัยความ
ประมาทมัวเมา ไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง
หมายเอาเองว่า เราคงไม่เป็นอะไรง่าย ๆ เราสบายดีอยู่เรายังเด็กยัง
หนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย อันนี้เป็นความประมาทมัวเมา

-*-*-*-*-*-*-*-

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชอบจริง ๆ ครับ ของ หลวงปู่ดุลย์

จิตที่ส่งออกนอก.........เป็น..............สมุหทัย
ผลที่จิตส่งออกนอก.....เป็น..............ทุกข์
จิตเห็นจิต................เป็น...............มรรค
ผลที่จิตเห็นจิต..........เป็น...............นิโรธ


อ่านแล้ว... มองเห็นกระจ่างมาก ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร
ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจ อริยสัจ 4 นี่เลย เคยเป็นเพียง
"คิดว่า" เข้าใจ เท่านั้น

กลอนธรรมจ้า จากท่านพุทธทาส

ขออนุญาตยกเอาคำสอนของท่านพุทธทาส... ที่ได้อ่านเมื่อใด..เตือนสติได้เสมอ...

ยศและลาภหาบไปมิได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล
ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน แม้แต่ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ


เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเจ้า ใยมัวเมาโลภมากทำบาปใหญ่
เจ้ามาเปล่าแล้วจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

เจ้าเกิดมาก็มาแต่ตัวเปล่า ใครหอบเอาสมบัติมาก็หาไม่

ถึงคราวจากทอดทิ้งไว้มิเอาไป ติดตามได้แต่บาปบุญของตนเอง

เมื่อยังไม่ตายมุ่งหมายว่าของข้า เพราะตัณหาพาจิตคิดหลงใหล
แม้ตัวเราเขายังเอาไปเผาไฟ มีสิ่งใดเป็นของเราก็เปล่าเลย

แรกเกิดมามีแต่หัวและตัวเปล่า มิได้เอาเงินทองคล้องมาด้
เมื่อเป็นอยู่บากบั่นเข้าขั้นรวย ยามมอดม้วยก็ทิ้งไว้ไปแต่มือ...



หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

1. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว
เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมา
ถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้
อยู่ที่การละกิเลส ละกิเลสในใจให้หมดสิ้น

2. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละให้ออก
ไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตาห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่อง
ของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือน
กับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน

3. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง
อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั่นเราเป็นนี่ ตัวเรา
ของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

กิเลส กองไหนที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว ให้รีบตัด รีบละออกไป เลิกไม่ได้ ละไม่ได้ก็ให้นึกถึง
ความตาย ใครจะดุร้าย ป้ายสี ก็ให้นึกว่าเขาจะต้องตาย

เรา คือ กายกับจิตที่ต้องตายจากกันไป จะมาโกรธ มาโลภ มาหลง มายึดหน้าถือตา ยึดอะไรต่อมิ
อะไรไปทำไม จงปล่อยวางให้หมดสิ้นไป

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บ่น......

เช้าวันนี้ 24 ตค. 2552

ไม่รู้จะทำอะไรจริง ๆ ตื่นมาก็สายแล้ว นั่งเล่น web ไปเรื่อย หา Idea สำหรับ โปรแกรมตัวใหม่ กับโปรเจ็ค อภิมหา... เล็ก
หุๆๆ... ตอนเช้า Update web ไปเล็กน้อย (1 กระทู้ )

แล้วเอาไงดีล่ะเนี่ย..... (ขี้เกียจ)
เริ่มต้น..
ไปนั่งดูหนัง พักผ่อน เอนหลัง (กินไปด้วย ^o^)
ปล่อยวางจิตให้ว่าง ซักพัก (จริง ๆ ก็นั่งสังเกตุใจ ไปนั่นแหล่ะ)
แล้วฟังธรรมะ จาก ไฟล์เสียง พระอาจารย์ปราโมทย์ (อิเล็คโทรนิคส์-มรรค วุ้ย)

ปล่อยใจสบาย ๆ พอว่าง ๆ ก็มานั่ง คิดต่อ (ฟุ้งซ่านว่ะ) จะแต่ง หน้าตา Blog เป็นยังไงดีฟระ ใครจะเข้ามาดูไม๊
แล้วตัวเองก็ตอบไปว่า . ไม่ดีกว่า แต่งไปอย่างที่ใจอยากจะทำ ใครจะมาดูก็ช่างมัน ไม่ดูก็ไม่ว่าอะไร ..
นี่เอง.. ที่เรียกว่า จิตฟุ้ง... มันจ้าออกมานอกตัว คิดถึงตัวเองไม่ถึง 1 วินาที มันก็จ้า ไปคิดต่อ ว่า ใครจะเข้ามาอ่าน
มั่งไม๊ ..นี่ จิตมันเป็นอย่างนี้

เฮ้อ .. แล้ว หนทาง อริยมรรค มันจะเริ่ม เตาะแตะ ได้ยังไงหว่าเนี่ย
คิดไปคิดมาก็หิัว ..ลงไปหาอะไรกิน (ทำไมร่างกายต้องเกิดทุกข์ตลอดเวลาด้วยนะ)
พอเิริ่มกิน ก็เอาแล้ว... อร่อย.. (จริงไม่จริงไม่รุ) เออน้อยจัง ยังไม่ทันไรหมดแล้ว

ผมสังเกตุ อย่างนึง

กิเลส ..... ราคา โทสะ โมหะ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ใคร ๆ บอกว่ามันเกิดมา เห็นอย่างนั้น เห็นอย่างนี้
ผมว่า มันไม่ได้ิเกิดทีละอย่างนะ
มันเกิด ต่อเนื่อง กันทั้ง 3 อย่างแหล่ะ

โดยที่ แต่ละอย่างจะเป็น เหตุและปัจจัย ของ กันและกัน (น่ากลัวจริง ๆ ขอบอก)
แต่คนที่ดูจิตเนี่ย หลายคน จับมันไม่ได้แน่ ถ้าฝึกมาน้อย แม้แต่ตัวผมเองนะ เห็นมั่งไม่เห็นมั่ง

คืองี้ ผมลองพิจารณาลงไปในจิต ในกิเลสทั้งปวง แล้วดูว่า (ตาม ดูนี่แหล่ะ)
ตัวไหน เกิด เช่น โทสะ เกิด.. ก็ดูตามมันไป โทสะก็ดับ

...แล้วไง

ก็เห็นว่า บางครั้ง ความขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ก็คือโทสะ นะ
แต่ ทำไม ถึงขัดใจล่ะ .. เพาะอยากไง (แน่ะ โลภะเกิดก่อนนะ)
พอ โลภะเกิดก่อน แล้วเราเกิด มองเห็นโลภะ นะ โลภะ มันก็ดับ
เมื่อมันดับ

... Logic เลย ถ้า.. ดับก่อนที่จะเกิดความขัดใจ โทสะไม่เกิด แต่ถ้าดับทีหลัง โทสะก็เกิด
เอากะมันสิ

สังเกตุว่า เืมื่อเกิด ความขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ (โทสะ) ก็จะเกิดความทุกขฺ นั่นเอง
แล้ว.. จิต จะเกิดความอยาก (ดิ้นรน มันไปเรื่อย ๆ ) พออยาก ก็จะดิ้น แล้วพอได้ดังใจ
มันก็ หลง อ้าว พอหลง แล้วเกิดขัดใจอีก โทสะมันก็เกิด แล้วมันก็อยาก อยากแล้วก็หลง
หลงแล้วก็ โกรธ ........................................

เชื่อไม๊ ว่ามันเป็นแบบนี้.

สรุป ว่าจริง ๆแล้ว กิเลส เกิดที่จิต ตลอดเวลา ถ้าเราตามดู เราจะไม่เป็นอันทำไร T_T
แต่ เราต้องตามจริง ๆนะ เพราะอะไร .?

เพราะ ยิ่งตามดูต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งนาน ๆ เราจะพบว่า เราสามารถ เห็นตัว กิเลส ได้ละเอียดมากขึ้น ๆ
จริงป่าว ไม่มีใครยืนยัน ประสบการณ์ผมหรอก .. แต่ ปัจจัตตัง เท่านั้นแหล่ะ คือ ความจริง ครับ

เอ้า เขียนซะเป็นวรรคเป็นเวร .. ไปพักก่อนดีกว่า ไว้ว่าง ๆ จะมาเขียนเรื่องการทำ สมถะ..
ต้องทำ ครับ ตอนนี้ จิตอ่อน ลงเรื่อย ๆ อ่อนล้านะ ไม่ใข่่อ่อนแอ ไม่ทำไม่ได้นะเนี่ย
แต่ ท่านอาจารย์ปราโมทย์ บอกว่า อย่าไปติดเพ่ง ..
อืมม์ กลัวเหมือนกัน แต่ไม่มีทางเลือก คิดว่า แค่ประคอง สติ คงจะไม่หลง ละกัน

เฮ้อ.. ไหนว่า ท่านอาจารย์ว่า มัน"ง่าย" ไงล่ะ T_T ยากนะเนี่ย ขอบอก


Inkky
พยายามต่อไป วันนึง อริยมรรค ต้องเป็นของเรา ^_^
..

คำสอนหลวงปู่มั่น



" ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ มนุษย์แม้จะถึงตาย ก็นับวันมากขึ้น
นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต

เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม เป็นไร่เป็นนาจะไม่วิเวกวังเวง ศาสนาทางมิจฉาทิษฐิ ก็นับวันจะ
แสดงปฏิหาริย์ คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย ฉะนั้นพวกเรา
ทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่แก่ธรรมดังไฟที่กำลังใหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด
ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกภายนอกที่รวมเป็น
สังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืน
เถิดความเบื่อหน่ายคลายเมา ไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆและแยบคายด้วยจะเป็นสัมมา
วิมุตติ และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วง ไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบัน จิตในปัจจุบัน ที่เธอทั้งหลายตั้งอยู่หน้าสติ
หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ "


โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
(บันทึกโดยพระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต)
จากหนังสือ"เพชรน้ำหนึ่ง"

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เริ่มต้นกับ ตัวผม



แรงบันดาลใจในการสร้าง Blog ที่จะเก็บคำสอนของพระ ซึ่งผม เคารพนับถือขึ้นเนื่องจาก
บังเอิญรับฟังธรรม จากพระอาจารย์ ปราโมทย์ (สวนสันติธรรม) และก็ได้ทดสอบปฏิบัติ ตามแนว
ทางของท่าน อาจารย์

อีกทั้ง ยังได้ยิน ชื่อ ครูบาอาจารย์ หลายท่านจากปากของท่าน ทั้งที่เคยได้ยินชื่อ และไม่ได้
ยินชื่อมาก่อน ก็ได้ตาม ไปค้นหาข้อมูลของท่านเหล่านั้น และเห็นว่า ถ้อยคำ วาจาอันมีคุณค่าของ
ท่านเหล่านั้น สมควรที่จะ ถูกจัดเก็บไว้ รวมทั้งพร้อมที่จะเผยแพร่ ออกไป แก่ผู้ที่ใคร่ ในธรรม
ทั้งหลาย ตามที่ พระศาสดา ของศานาพุทธเรา ได้บัญญัิติไว้

ดังนั้น ผมจึงได้สร้าง Blog ทั้งที่จริง ๆ แล้วมี Blog เหล่านี้มากมาย แต่ขอเป็นส่วนเล็ก ๆ
ส่วนหนึ่งในการ เก็บ "ความจริง" หรือ "สัจจะ" แห่งชีวิต ไว้ทางหนึ่งด้วย


INKKY